ในวันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติ ให้เริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระยะที่สองในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 โดยเพิ่มเติมให้เปิดห้างสรรพสินค้า โรงอาหาร ยิมออกกำลังกาย สถานเสริมความงามได้ ทั้งยังขยับช่วงเวลาเคอร์ฟิวเป็น 23.00 - 04.00 น. แต่ยังคงห้ามให้มีการบริโภคสุราในร้านอาหาร และห้ามเข้า-ออกประเทศเช่นเดิม
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยในการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ประชุม ศบค. มีมติผ่อนปรนมาตรการระยะที่สองแล้วเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น โดยการผ่อนปรนนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563 และการเปิดต้องดำเนินการมาตรการป้องกันโรค
“การตัดสินใจเข้าสู่มาตรการการผ่อนปรนระยะที่สอง ตรงนี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าจะต้องผ่อนคลายให้เศรษฐกิจดำเนินการไปได้… วันนี้เสนอผ่อนปรน กิจกรรมหรือกิจการที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคในหลายพื้นที่ และการแพร่เชื้อในสถานที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม… เปิดเพิ่มในกลุ่มที่สอง คือ การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ร้านอาหาร ในโรงอาหาร อาคารสำนักงาน หรือศูนย์อาหารภายในหน่วยงาน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
“ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอล ให้ปิดบริการถึงสองทุ่ม แต่ยังห้ามบริโภคสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน… โรงภาพยนตร์ สวนสนุก สวนน้ำยังให้ปิดเพราะมีความเสี่ยงสูง มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงไว้ คือ การเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก น้ำ อากาศ ยังคงมาตรการเดิมของต่างประเทศยังไม่เปิดสนามบินให้ลง ปรับระยะเวลาการห้ามออกเคสถานเป็น 5 ทุ่ม ถึตี 4 ยังเหมือนเดิม งดหรือชะลอการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดเช่นเดิม” นพ.ทวีศิลป์
ทั้งนี้ กิจการและกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนปรนระยะสอง สามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. กิจการด้านเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวัน คือ การจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ในภัตตาคาร ศูนย์อาหาร ร้านอาหารขนาดใหญ่ สวนอาหาร ร้านไอศกรีม ร้านขนมหวาน ในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ร้านวัสดุก่อสร้าง ร้านเฟอร์นิเจอร์ ค้าส่งอื่นๆ ตลาดค้าส่ง แต่ยังให้งด โบว์ลิ่ง สนามพระ โรงหนัง สวนน้ำ พื้นที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โรงเรียน สถาบันกวดวิชา ตู้เกม ร้านนวดแผนไทย สปา ฯลฯ
2. กิจกรรมด้านการออกกำลังกาย คลินิกเสริมความงาม สถานเสริมความงาม คุมน้ำหนัก เฉพาะเรือนร่าง ผิวพรรณ แต่เว้น การทำความงามที่เกี่ยวข้องบนใบหน้า เปิด โรงยิม สถานที่ออกกำลังกายในร่ม ฟิตเนส เฉพาะบางส่วน โดยไม่มีการออกกำลังกายแบบรวมกลุ่ม การใช้ลู่วิ่ง และจักรยานปั่น แต่ยังให้ปิด สนามมวย และโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ 3. กิจกรรมอื่นๆ ให้เปิด ห้องประชุมโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้องสมุดสาธารณะ แกลลอรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กิจการถ่ายภาพยนตร์ให้ดำเนินการแต่รวมทีมงานไม่เกิน 50 คน แต่ห้องจัดอบรม และสัมมนายังปิดต่อไป
ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 7 ราย
ด้าน การรายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทย นายแพทย์ทวีศิลป์ระบุว่า ประเทศไทยยังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม แต่ไม่พบผู้เสียชีวิต
“วันนี้มีรายผู้ป่วยใหม่ 7 ราย ทำให้ตัวเลขรวมสะสมขึ้นไปอยู่ที่ 3,025 ราย 7 รายนี้อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ เป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2,854 ราย เพิ่มขึ้น 4 ราย คือผู้ป่วยที่แล้ว แล้วก็เสียชีวิตไป 56 ราย วันนี้เป็นข่าวดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยที่รักษาอยู่อยู่ 115 ราย” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
รถทัวร์อีสานกลับมาวิ่งบางสาย
ในวันเดียวกัน บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จะกลับมาเปิดเดินรถในเส้นทางภาคเหนือ 7 เส้นทาง และเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 9 เส้นทางอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 และ เส้นทางสายใต้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 หลังจากที่ บขส. หยุดให้บริการชั่วคราวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนหน้านี้ โดยจะมีการเปิดเส้นทางดังนี้
1. ภาคเหนือ จำนวน 7 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่, กรุงเทพฯ - เชียงราย, กรุงเทพฯ - อุตรดิตถ์, กรุงเทพฯ - สารจิตร (สุโขทัย) , กรุงเทพฯ - แม่สอด (ตาก), กรุงเทพฯ - หล่มเก่า (เพชรบูรณ์) และกรุงเทพฯ - คลองลาน (กำแพงเพชร) 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก จำนวน 9 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ - หนองบัวลำภู, กรุงเทพฯ - สกลนคร, กรุงเทพฯ - เชียงคาน (เลย), กรุงเทพฯ - สุรินทร์, กรุงเทพฯ - บุรีรัมย์, กรุงเทพฯ - กันทรลักษ์ (ศรีสะเกษ), กรุงเทพฯ - ศรีสะเกษ, กรุงเทพฯ - รัตนบุรี (สุรินทร์) และกรุงเทพฯ - จันทบุรี และ 3. เส้นทางเดินรถภาคใต้ 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ - เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี, กรุงเทพฯ - ภูเก็ต และกรุงเทพฯ - ตรัง
#TheIsaander #Isaan #Isaannews #อีสานเด้อ #อีสาน #ข่าวอีสาน #ดิอีสานเด้อ #โควิด19 #โคโรนา #ประเทศไทย #สู้เด้อสู
Comments