โดย : พิรุณ อนุสุริยา
หากใครใฝ่ธรรม เข้าวัด หรือภาษาบ้านๆ ที่เรียกว่า คนธรรมะธัมโม ย่อมต้องคุ้นเคยกับการตักบาตร ไปวัด ฟังธรรม หรือเวียนเทียนตามวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ส่วนกิจกรรมที่คนพูดถึงบ้าง แต่อาจจะไม่แพร่หลายนัก คือ การนั่งสมาธิภาวนา และเมื่อผู้เขียนได้มาพำนักที่จังหวัดอุดรธานี บ้านเกิด ก็ได้ไปสะดุดกับป้ายประชาสัมพันธ์ “หลักสูตรครูสมาธิ ของหลวงพ่อวิริยังค์” ด้วยสงสัยใคร่รู้ จึงสืบเสาะพูดคุยกับผู้คนในท้องถิ่น ถึงประสบการณ์ ว่าที่เห็นไปเรียน ไปฝึกกันนั้น มีที่มาที่ไป ได้รับผลลัพธ์อย่างไรกันบ้าง
คนแรกคือ เจ๊แอ๋ว วิภาพร คะนึงคิด เจ้าของร้าน แอ๋วอาภรณ์ ที่ขายเสื้อผ้าอยู่ที่อำเภอกุมภวาปี เจ๊แอ๋วเป็นครูสมาธิรุ่น 38 สาขา 17 วัดป่าหลวง อุดรธานี ซึ่งก่อนที่จะมาเรียนหลักสูตรครูสมาธิ เจ๊แอ๋วเคยไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อจรัญ สวนเวฬุวัน ขอนแก่นมาก่อน เจ๊แอ๋วเล่าถึงประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันถึงการได้พบสถานที่ปฏิบัติธรรมสองแห่งนี้
“ไปหล๊ายยยย หลายวัด แต่มันก็ยังไม่ใช่ ไม่ใช่ไปใส่บาตร ไม่ใช่ไปตักบาตร ไม่ใช่ไปฝังลูกนิมิตร คือในจิตเราน่ะมีความมุ่งจะไป คนก็แนะนำมาหลายที่ ไปวัดนั้นสิ วัดนี้สิ ไปใส่บาตร ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ในจิตเรามันไม่ช้ายยย ไม่ใช่ๆ เราก็เลยหาตลอดนะ หาตลอดเป็นเวลาไม่ใช่น้อยๆ นะจนเรามารู้ทีหลังว่า ในจิตเราที่ว่าน่ะ คือการภาวนา แต่เรากลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่เป็น”
“ก็เลยไปถามลูกน้อง (ที่ร้าน) เออ มันมีอยู่วัดหนึ่งนะเจ๊ แต่วัดมีแต่แม่ชี ไม่เห็นมีพระเลย เราเลยถามไปว่าที่ไหนล่ะ พอรู้ว่าวัดหลวงพ่อจรัญ ก็ลองไปเลย เขาบอกว่าอยู่ขอนแก่น ตัดสินใจขับรถออกไปหา พยายามหาป้าย จนเจอป้ายหลวงพ่อจรัญ แต่ไม่มีป้ายชื่อวัด แต่ก็เลี้ยวเข้าไป ก็ไปเจอศูนย์ปฏิบัติธรรม ไปโดยทั้งที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยว่าการทำสมาธิต้องมากี่วัน พอไปเจอพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เราก็เลยบอกไปว่า จะมาทำสมาธิแต่ไม่รู้เรื่องเลย ต้องทำยังไงบ้างเจ้าคะ”
“พอพระอาจารย์บอกว่าต้องทำสมาธิที่นั่น 5 วัน 7 วัน เราก็ตกใจเลย โอ๊ย ตายแล้ว กูจะขายผ้าโหลยังไงวะเนี่ย (สินค้าที่ร้าน) เราต่อต้านแล้ว พระอาจารย์เห็นอย่างนั้นเลยเสนอคอร์สอื่น 3 วัน ป๊าดดด อย่างต่ำ 3 วัน แล้วต้องอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติเลย สุดท้ายวันนั้นที่ไปก็เลยไม่ได้ปฎิบัติ ได้แค่เอาแผ่นพับระเบียบการกลับมา ฮ่าๆๆ”
“กลับบ้านมานอนคิด โอ๊ย ตายแล้ว กูต้องมานอนวัด 3 วัน บ้านกูจะอยู่ยังไงวะ ใครจะขายของ ตอนนั้นก็ขายของดี แต่ใจของเรามันมาทางนั้นแล้ว ก็เลยกลับไปดูที่ศูนย์ซ้ำ มันรู้สึกว่าใช่แล้ว หลวงพ่อจรัญนี่ จนพี่สาวเตือนว่า เจ้าจะไปได้ยังไง ไปนอนวัด จะไปไหนเจ้ายังไปบ่ถูกเลย ว่าอย่างนี้ เราก็คิด เออใช่ว่ะ”
“แต่เราอยากมาแหม 3 วันก็สู้วะ ถือว่าไปเที่ยว เชื่อไหม เราไม่เคยปฎิบัติมาก่อน กลับบ้านมา เป็นไข้เลย มันเหมือนกับเราไม่เคยออกกำลังกายแล้วเราไปวิ่งอ่ะ ระบมไปหมดเลยเว้ย แขนต้องไขว้อย่างนี้ แรกเริ่มเรานึกว่ามันจะสนุก ได้พูดคุยกันกับคนอื่น แต่ไม่ใช่ เราต้องนั่งนิ่งๆ กระดุกกระดิกไม่ได้ ตอนเย็นข้าวก็ไม่ได้กิน เพราะเขาให้ถือศีล 8 พูดก็ไม่ได้ ต้องนอนตื่นตี 2 อาบน้ำเย็นอีก”
“แต่มันแปลกนะ มันเหมือนกับท้าเรา ไม่ได้ ฉันต้องไปอีก พอหายปวด เส้นมันคลาย สิบกว่าวันผ่านไป ก็ไปอีก เอาอีกสักตั้งนึง ตั้งใจเคลียร์งานที่บ้านให้หมด สั่งคนที่บ้านบอกว่าจะไม่อยู่กี่วันๆ คราวนี้ไอ้ที่เจ็บๆ ปวดๆ ชาๆ มันก็เริ่มเข้าที่แล้ว กินได้ตามเวลาที่พระกำหนด รู้ว่าไม่ต้องกินเยอะ กินเยอะแล้วทำให้ง่วงนอน เดินจงกรม ไม่พูดกับใคร เวลาทุกวินาทีมีค่าหมด น้ำก็รีบอาบ ไม่อ้อยอิ่งเหมือนอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาก็ตรงดิ่งไปอาคารที่นั่งสมาธิ โอ้ มันใช่เว้ย”
“ส่วนตอนไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาเรียนอะไรกันยังไง ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็บอกคนที่ไปด้วยกันให้มองข้างทางไว้ตลอดขณะที่ขับรถไปหา เผื่อว่าเทวดาจะดลใจให้เราได้เจอ จนไปเห็นป้ายเล็กๆ ข้างทางมีลูกศรชี้ให้เลี้ยวเข้าไป เราก็ตัดสินใจเลี้ยวเลย พอเข้าไป ขับไปถึงไปเจอเมรุ เฮ้ย อ๋อ คือเราไปเข้าผิดทาง แทนที่จะเข้าประตูใหญ่เราไม่เข้า”
“พอเดินเข้าไปในวัด ก็ไปเจอนักศึกษาครูสมาธิที่เรียนจบแล้ว เพิ่นถามว่ามาทำอะไร เราบอกไปว่า มาเรียนสมาธิ แต่ที่นั่นเขาจะเรียก เรียนครูสมาธิ เราก็ไม่รู้มาก่อน ก็รีบปฏิเสธว่า ไม่ๆๆ ไม่ค่ะ ไม่ได้มาเรียนครู มาเรียนสมาธิ เขาถามว่า แล้วเคยมาไหม เราก็บอกไม่เคยมา คือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ไม่รู้ประวัติหลวงพ่อวิริยังค์ รู้แต่ว่าหลวงพ่อชื่อนี้ จนได้เจอคนที่ให้ข้อมูลอธิบายให้ฟัง”
“เราเคยได้ยินเรื่องจิตจากหลวงพ่อจรัญ เพียงแค่ความคิด จิตเราก็ใฝ่ เราก็ได้แล้ว เราใฝ่เราถึงได้มาเจอการเรียนเหล่านี้ แค่เราอธิษฐานจิต พระที่บารมีท่านสูงๆ เพียงเราคิดไปหาท่าน กระแสจิตก็ส่งแล้ว อย่างถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านไม่ได้ไปมาหากันนะ ท่านสื่อกันทางจิตนะ จนเราได้มาฝึกกับหลวงพ่อวิริยังค์”
“พอเรามาฝึก เราก็รู้ว่ามาถูกทางแล้ว มามองตัวเองก็เกิดความรู้สึกเสียดาย ว่าเรามาตอนแก่ เพราะหามาน๊านนนนนน นานๆ ตั้งแต่ตอนเป็นสาวน่ะ เพราะที่ผ่านมา เราไปหาตามที่คนอื่นบอก ใครบอกว่าพระนั่นปฏิบัติดี เราก็ไปกราบๆ แต่มันก็ไม่ใช่ เราก็อยากรู้ว่า เอ๊ะ เขาสวดมนต์กันยังไง จนเดี๋ยวนี้สวดมนต์ได้จังหวะ อย่างกับร้องเพลงชาติ มันอยากให้เราไปทำวัตรเย็น เหมือนคนร้องเพลงเป็นแล้วเด้ เดินจงกรมมันเป็นอย่างนี้ พอเดี๋ยวนี้เวลาไป ก็รู้สึกอยากให้มีเวลามากกว่านี้จังเลย ถ้ามาเร็วกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมาต้วมเตี้ยมๆ อย่างนี้”
“อย่างการสวด เราก็ยังอยากไปสวดกับคนอื่น ทั้งที่เราสวดเองเป็นอยู่แล้ว เข้าใจคำว่าพลังไหม เราสวดคนเดียวกับเราสวดพร้อมคนหมู่มากมันไม่เหมือนกัน พลังต่างกัน คนอื่นไม่เข้าใจอาจจะถาม ไปสวดกับคนอื่นเยอะๆ เพราะตัวเองสวดไม่เป็นเหรอ ไม่ใช่ เราสวดกับคนอื่นเพื่อจะไปเอาพลัง อยู่ที่บ้านมันไม่ได้ ต้องไปเอาพลัง”
“อย่างการเดินจงกรมนี่ เดินคนเดียวน๊านนาน ครึ่งชั่วโมงทำไมมันนานจังวะ เดินแป๊บๆ หันไปมองนาฬิกาทำไมมันผ่านไปช้าจัง แต่พอไปเดินกับคนหมู่มาก เข้าไปเดินในโบสถ์มันเร็วมาก นี่แหละ หลวงพ่อวิริยังค์เลยใช้คอร์สการฝึกครูสมาธิขึ้นมา”
“การฝึกของหลวงพ่อวิริยังค์นี่ จะไม่ให้นั่งนาน ยืนนาน ห้ามเกินครึ่งชั่วโมง ท่านบอกว่ามันล้นไป ท่านว่าอย่างนี้ อุปมาอุปไมยเหมือนเรากินข้าว เรากินข้าวจานเดียวอิ่มพอแล้ว ถ้าเรากินจานที่สอง แล้วมีผลเสียไหม ทำให้ก่อเกิดโรคไหม ประโยชน์เอามาใช้ไม่ได้ หลวงพ่อว่าเอาที่เป็นประโยชน์ ไอ้ที่ไม่เป็นประโยขน์ตัดออก”
“หนึ่งห้ามหิว สองห้ามร้อน สัปปายะต้องดี นั่งห้องแอร์ ไม่ให้มีอุปสรรค ก่อนเรียนกินข้าวก่อน เบรคกินน้ำก่อน ไปเข้าห้องน้ำ ภาคทฤษฎีจบแล้วต่อไปภาคปฏิบัติ”
“จากที่ฝึกกับหลวงพ่อจรัญกับหลวงพ่อวิริยังค์ อาจจะเกิดคำถามว่าทำไมคนละแบบ ทำไมคนนั้นสอนแบบนั้น คนนั้นสอนแบบนี้ ทีนี้มันอยู่ที่ตัวเรา อุปมาอุปไมยเหมือนเรากินอาหาร เป้าหมายของการกินคืออิ่ม สมมติกินขนมจีนมันไม่ค่อยย่อยว่ะ อืด ถ้าอืดจะไปกินทำไม คุณก็เปลี่ยน คุณมีตัวเลือก คุณก็ไปกินข้าวเหนียว ข้าวเจ้า อันไหนคุณกินแล้วดี ทำแล้วโอเคคุณก็เอาเลย”
“บางทีคนเราไม่ฟังอะไรไม่ละเอียด จับมาตีความโน่นนี่นั่น คุณต้องฟังอะไรให้มันกว้าง จะรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
อีกท่านหนึ่งคือ อาเฮีย จากร้าน พูนสินอลูมินั่ม อาเฮียเริ่มจากฟังหลวงพ่อวิริยังค์เทศน์มาก่อน ได้ไปเรียนที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 เป็นครูสมาธิรุ่นที่ 5 ซึ่งแตกต่างจากคนอุดรส่วนมาก และแม้จะเรียนจบไปนานแล้ว อาเฮียยังคงแวะเวียนไปที่วัดโพธิสมภรณ์ สาขา 32 เพื่อคอยช่วยเหลือ และให้คำแนะนำผู้ที่เข้ามาฝึกอบรมเสมอ
“ผมฟังเทศน์จากหลวงพ่อวิริยังค์ ท่านเทศน์ว่า เหตุปัจจะโย คือ ผลมาจากเหตุ แล้วท่านก็จะสอนสมาธิ เมื่อทุกคนได้สมาธิ ได้พลังจิตแล้ว ผลมันก็ต้องออกมาดี เพราะเหตุที่ดี การเรียนสมาธิเป็นเหตุที่ดี เราพิจารณาแล้วก็เชื่อเลยมาเรียนเป็นรุ่นที่ 5 เรียนกับเทป”
“การเรียนเดิมทีเป็นการสอนสด 3 รุ่น ที่วัดของท่านเองก่อน ส่วนรุ่นต่อๆ มาท่านก็เปิดเทปของท่าน เพราะเหตุว่า ท่านต้องการให้ทุกคนทั่วประเทศได้มีโอกาสเรียน แต่ไม่ผิดพลาด และท่านจะได้มีโอกาสไปโปรดที่อื่นๆ ทั่วโลก เพราะสมาธิที่ท่านสอนท่านเปิดโอกาสให้มนุษย์โลกทุกคนมาเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ เพราะเป็นการเรียนสมาธิ”
“เมื่อต่อมา คนเขาพิสูจน์ เขาเห็นว่าได้ผลดีจริง เขาก็มาขอหลวงพ่อเพื่อมาขยายสาขา รุ่นที่กำลังจะจบนี่รุ่นที่ 45 หลวงพ่อสอนตั้งแต่ปี 2540 ที่เศรษฐกิจพังทั้งประเทศ หลวงพ่อท่านบอกว่าเหตุผลคือ ทุกคนในประเทศใช้แต่พลังจิตไป แต่ว่าพลังจิตและสมาธิกลับไม่ทำเพิ่ม มีแต่ใช้ไปๆ และถึงแม้จะมีบุคคลที่มีตำแหน่งสูง หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ก็คือให้ทุกคนตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญไปถึงกรรมกรชาวนาชาวสวน ทุกคนจะได้มีพลังจิต มีเหตุผล ตัดสินเหตุการณ์ต่างๆ ได้ถูกต้อง”
“นั่นคือเหตุผลที่หนึ่ง เหตุผลต่อมาคือ ฝึกให้เป็นผู้สอน สอนก็สอนตามแนวทางหลวงพ่อ แต่เหตุผลหลักๆ ก็คือเร่งให้ตนพัฒนาตนเอง ส่วนการจะสอน ก่อนจะมาสอนตัวผู้สอนต้องกลับไปทบทวน ไปศึกษาค้นคว้าให้ตรงกับที่หลวงพ่อได้สอนไว้จริงๆ ก่อน”
“ส่วนผมจะไปช่วยแบบทั่วไปมากกว่า ผมไม่ได้อธิษฐานว่าจะสอนแบบที่ว่า แต่ผมอธิษฐานไว้ว่า จะไปแนะนำคนอื่น เราพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ได้ผลแล้ว เราอธิษฐานว่าไปช่วยคนแต่ว่าจะไปช่วยอีกแบบ ไม่ถึงขั้นว่าต้องสอนเป็นเรื่องราว เพราะฉะนั้นเริ่มต้น เราก็ต้องฝึกตัวเองให้ได้ แต่ถึงเวลานี้ยังไม่ได้ (หัวเราะ) แต่ก็ยังทำต่อเนื่อง เพราะว่าเชื่อในคำสอนของหลวงพ่อ ว่าทุกครั้งที่เราทำสมาธิเราได้พลังจิต และแนวทางท่านก็สอนมาตามครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น”
“แนวคิดคำสอนของหลวงพ่อ ท่านสอนให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะว่า แท้จริงแล้วทุกคน เมื่อเวลาปกติ ตั้งแต่เช้าถึงค่ำที่คนเรามีความสุขสดชื่น ที่ทำงานได้สบายใจตลอด ก็เพราะเมื่อคืนได้หลับสบายแล้วทั้งคืน แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะกินอิ่มแล้วหลับสบาย แต่สบายได้เพราะทุกคน ทุกสัตว์ ทุกศาสนา ก่อนที่จะหลับไปเขาจะมีสมาธิอยู่ แต่ไม่เกิน 5 นาที เขาก็หลับ”
“ที่นี้หลวงพ่อท่านก็เมตตา สอนให้คนได้สมาธิแบบนั้นแหละ ให้ได้สักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง”
“การที่ฝึกสมาธิเป็นหมู่คณะ มันได้ประโยชน์ เปรียบเทียบเหมือนเรายกโต๊ะ จะยกคนเดียวก็ได้ ยกสองคนก็ได้ แต่ถ้ายกสิบคนมันก็ง่าย เพราะทุกคนที่มาก็มุ่งความสงบ เหมือนทุกคนมาช่วยกันยกโต๊ะ
__________________________________
โดย พิรุณ อนุสุริยา
_____________________________________
Comments