top of page
  • Writer's pictureThe Isaander

โควิด-19 : บันทึกจากผู้ติดเชื้อ ความเจ็บไข้ ครอบครัว ความกลัว และหยดน้ำตา

Updated: May 28, 2021





ในขณะที่นั่งลงเขียนบันทึกนี้ ผมออกจากโรงพยาบาลหลังได้รับการรักษาโควิด-19 มาแล้วหลายสัปดาห์ กักตัวครบตามกำหนด และทางโรงพยาบาลบอกว่าไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำ เพราะบางทีอาจจะตรวจเจอเชื้อที่ตายแล้วซึ่งไม่สามารถแพร่ออกไปได้ ในด้านร่างกาย ผมไม่แน่ใจว่ามีอะไรค้างอยู่บ้าง ซากเชื้อ? หรือภูมิคุ้มกัน? แต่ในด้านจิตใจนั้น ผมรับรู้ได้ชัดเจนว่าหลายต่อหลายหลายอย่างยังคงติดอยู่ไม่จากไป


ทุกวันนี้ ผมยังคงนึกถึงวันแรกที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับโควิดอย่างจริงจัง ก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดระลอกสามช่วงต้นเดือนเมษายน 64 แม้จะคอยติดตามข่าวด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ห่างไกลจากความห่วงว่าจะเกิดกับตัวเอง ชีวิตผมในหยุดยาวช่วงสงกรานต์ยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่ายปรกติตามที่ได้วางแผนไว้ โดยไม่ได้เอะใจเลยว่า แท้จริงแล้วมันคือคลื่นลมที่สงบนิ่ง ก่อนจะมีพายุใหญ่ตามมา


พายุเริ่มซัดเข้ามาในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน เมื่อเพื่อนคนหนึ่งโทรมาบอกว่า ผลการตรวจโควิดของแฟนเขาที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันกับครอบครัวผมช่วงต้นสงกรานต์ เป็นบวก ครอบครัวที่ว่านั้นหมายถึง ผม ภรรยาซึ่งตั้งท้องได้ 8 เดือน และลูกเล็กวัย 2 ขวบกว่า เราไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ กันมา 1 คืน ในที่พักที่จ่ายเงินล่วงหน้าไปตั้งแต่ก่อนมีข่าวการระบาดหนัก นอกจากนี้ที่บ้าน ผมยังมีแม่ อายุ 65 ปี และมีโรคประจำตัว ซึ่งใกล้ชิดกับผมตลอดช่วงสงกรานต์อีกคน


ผมละมือจากการกินข้าวทันทีที่วางโทรศัพท์ เกิดอาการพะอืดพะอม เหมือนถูกผลักเข้าสู่ฝันร้ายตอนกลางวันอย่างไม่ทันตั้งตัว พยายามตั้งสติว่าควรจะทำอย่างไร ก่อนจะพบว่าตัวเองแทบไม่รู้อะไรเลย ผมค่อยๆ เริ่มจากค้นหาเบอร์สายด่วนเกี่ยวกับโควิด เลือกโทรไปที่เบอร์ 1330 เล่ารายละเอียดให้เขาฟังเพื่อปรึกษา ปลายสายแจ้งว่า ระยะเวลาที่ผมไปเที่ยวกับเพื่อนนั้นผ่านมาเกินสัปดาห์แล้ว ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ อยากให้กักตัวดูอาการจนครบ 14 วันก่อน เพราะไปโรงพยาบาลตอนนี้อาจจะเสี่ยงกว่า


แม้คำตอบนั้นจะทำให้ผมใจชื้นขึ้น แต่หลังจากที่ได้แจ้งสถานการณ์ของตนให้คนในที่ทำงานทราบ ผมก็คิดได้ว่า อย่างไรก็ควรต้องไปตรวจเพื่อความชัดเจนของครอบครัวและทุกคนที่เราได้ไปพบปะมา


บ้านผมอยู่บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ติดกับนครปฐม ผมพยายามโทรไปสอบถามโรงพยาบาลใกล้บ้านหลายแห่ง แต่ละแห่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป เช่น คุณสมบัติผู้ที่จะรับตรวจ หรือวันที่ทราบผล รวมไปถึงราคาค่าตรวจที่ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแค่ไหน สุดท้าย ผมเลือกไปตรวจในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในนครปฐม ซึ่งจะรู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง และไปลุ้นค่าตรวจจากการประเมินของแพทย์หน้างาน


คืนนั้น ผมเริ่มอ่านข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับโควิด ทั้งอาการ ระยะเวลาการฟักเชื้อ การรักษา ฯลฯ โดยตัวผม ลูก และแม่นั้นไม่มีอาการอะไรเลย ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่าเราอาจจะไม่มีเชื้อก็ได้ แต่ที่น่ากังวลคือภรรยาที่เจ็บคอและไอมาตั้งแต่ก่อนไปเที่ยว ซึ่งเคยไปตรวจก่อนหน้านั้นแล้วว่าเป็นอาการคออักเสบ และคืนนั้นก็ยิ่งไอหนักขึ้น



เช้าวันจันทร์ที่ 19 ผมพาภรรยา ลูก รวมถึงแม่ไปตรวจด้วย แต่เมื่อพยาบาลซักประวัติและประเมินอาการเบื้องต้นแล้ว จึงขอไม่ตรวจให้แม่ เนื่องจากไม่ใช่ผู้สัมผัสคนติดเชื้อโดยตรง และยังไม่มีอาการ ถ้าผม ภรรยา หรือลูก คนใดคนหนึ่งติด แม่ถึงค่อยมาตรวจพร้อมกับน้องสาวอีกคนที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน เราอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดครึ่งวันเช้า เสียค่าตรวจคนละประมาณ 200 บาท ตอนบ่าย ผมกลับมา work from home ค่อย ๆ ไล่สะสางงานเร่งด่วนให้เสร็จ พยายามระงับอารมณ์และจิตใจให้เป็นปรกติ แต่ก็ไม่อาจห้ามความกังวลถึงผลตรวจที่จะรู้พรุ่งนี้อยู่ตลอดเวลา


วันอังคารที่ 20 ผมตื่นมาเปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อรอรับสายแต่เช้า ตอนสิบโมง ผมมีประชุมออนไลน์กับที่ทำงาน เมื่อได้จดจ่อกับงานพร้อม ๆ กับเวลาที่ค่อย ๆ ล่วงเลยไปทำให้ความกังวลของผมลดระดับลง จนลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาในตอนเที่ยง เป็นเหมือนสัญญาณเรียกให้ผมกลับสู่โลกความจริง


ปลายสายเป็นคุณหมอโทรมาแจ้งว่าเราสามคน พ่อ แม่ ลูก ติดเชื้อโควิดทั้งหมด


เขาสอบถามรายละเอียด และบอกว่าเคสเราค่อนข้างซีเรียส เพราะผมมีทั้งภรรยาท้องแก่ และลูกเล็ก คุณหมอบอกให้ผมตั้งสติ ระหว่างนี้เตรียมเก็บกระเป๋า และรอรับโทรศัพท์ เขาจะประสานหาเตียงให้ ผมกลับเข้ามาในที่ประชุมออนไลน์ เพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบ


คำแรกที่ผมพูดคือ ขอโทษ


แน่นอนว่าการประชุมนั้นต้องปิดลงไปโดยปริยาย พร้อมกับความแตกตื่นของผู้ร่วมประชุม วินาทีนั้น ผมรู้สึกสูญเสียความภูมิใจในตัวเองที่เคยมี และรู้สึกผิดอย่างมากที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย ด้วยการกลายเป็นคนแรกที่ติดเชื้ออันน่าหวาดกลัวนี้


แม่ผมร้องไห้ทันทีที่ทราบผล ในขณะที่ภรรยาผมยังคงประคองสติได้ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าผมในตอนนั้น


อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้บังคับให้ผมไม่สามารถจ่อมจมกับความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูขึ้นมาได้ เพราะมีภารกิจอีกหลายอย่าง ทั้งเขียนไทม์ไลน์ให้ที่ทำงาน แจ้งนิติบุคคลของหมู่บ้าน และที่สำคัญที่สุดคือการหาเตียงให้ครอบครัว ตอนแรก เจ้าหน้าที่จากทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่า บ้านผมอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เขาจะส่งเรื่องต่อให้ทางกรุงเทพฯ เป็นคนประสาน แต่สักพักก็โทรกลับมาว่าเนื่องจากผมไปตรวจที่นครปฐม ทำให้การรับผิดชอบหาเตียงต้องเป็นของทางจังหวัดแทน


แต่ในขณะนั้นยังไม่มีเตียง ผมจึงลองโทรสอบถามบรรดาสายด่วนด้วยตนเอง เริ่มจาก 1669 ซึ่งแจ้งว่าให้ผมลองติดต่อที่ 1668 ก่อนแต่ไม่มีผู้รับสาย จึงจบที่เบอร์ 1330 ซึ่งรับเรื่องไว้ และบอกให้รอการติดต่อกลับ ผมยังประสานไปอีกหลายที่ทั้งโรงพยาบาลสนามและ Hospitel โดยเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเนื่องจากภรรยาผมตั้งครรภ์ทำให้ต้องหาเตียงที่โรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น

ตกเย็น ผมได้รับแจ้งว่า ตอนนี้ยังหาโรงพยาบาลให้ครอบครัวผมไม่ได้ อย่างเร็วสุดคือพรุ่งนี้เช้า คืนนี้ให้คอยดูอาการอยู่ที่บ้านไปก่อน ซึ่งจากที่ได้อ่านข่าวอย่างจริงจังและลองติดต่อเองมาทั้งวัน ทำให้ผมเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวดี เพราะมีผู้ป่วยอีกมากมายที่ยังติดค้างอยู่ที่บ้าน


แม่บอกว่าเพื่อนบ้านหลายคนที่ทราบข่าวได้ส่งข้อความหรือโทรมาถามไถ่เพื่อให้กำลังใจ แต่ก็มีที่แสดงความไม่พอใจ ซึ่งทำให้แม่ทุกข์ใจยิ่งกว่าเดิม ผมเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวดี และคิดอยู่ตลอดว่ามันเป็นความผิดของตัวเราเอง


คืนวันอาทิตย์และวันจันทร์แม้ผ่านไปอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไม่นานเท่ากับคืนวันอังคาร เวลาหลับก็ฝันถึงแต่อดีตที่ย้อนไปไม่ได้กับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกังวล และข่มใจหลับต่อไปเพื่อเจอกับความฝันใหม่ วนเวียนอย่างนี้ไปทั้งคืน


วันพุธ ผมตื่นแต่เช้ามืด เพื่อมานั่งเคลียร์งานที่คั่งค้าง สักแปดโมง ก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลในตัวเมืองนครปฐม ว่าตอนนี้มีห้องที่ครอบครัวผมสามารถเข้ามาอยู่ได้แล้ว แม้จะเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกเหมือนเป็นข่าวดีที่ไม่ได้รับมายาวนาน


เขาแจ้งว่ามีชุดโรงพยาบาลให้สำหรับผู้ใหญ่ แต่ของเด็กให้เตรียมมาเผื่อ นอกจากเสื้อผ้า ผมยังคาดเดาไม่ถูกว่า ลูกชายวัย 2 ขวบจะเป็นอย่างไรถ้าต้องอยู่ในห้องแคบ ๆ นานถึง 14 วัน จึงหยิบของเล่นไปให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาไปได้ ระหว่างนั้นมีเพื่อนทักมาว่า ถ้ายังไม่ได้โรงพยาบาล ให้ซื้อเครื่องวัดค่าออกซิเจนมาวัดดูอาการก่อน เพราะคนรู้จักที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ต้องใช้เครื่องนี้วัดทุกวัน ผมจึงฝากให้เพื่อนซื้อมาให้แม่ดีกว่า เพราะคงยังต้องรอผลตรวจอย่างน้อยก็อีกวันหนึ่ง


รถพยาบาลมารับพวกเราประมาณเที่ยง ตอนนั้นแม่กับน้องสาวผมกลับมาจากการตรวจแล้ว แม่กอดส่งหลานและพูดอย่างเศร้า ๆ ว่า “ขอให้ครอบครัวเราได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ” ฟังจบผมหันไปมองบ้านแล้วรู้สึกว่ามันหม่นหมองลงไปถนัดตา แต่เป็นปรกตินิสัยของแม่ที่มักจะกลัวถึงสิ่งที่แย่ที่สุดอยู่เป็นประจำ คำพูดนั้นผมจึงยังคิดว่าแม่กังวลเกินไป


ห้องที่เราได้เข้ามาอยู่ เป็นห้องสำหรับผู้ป่วย 2 คน ภายในห้องมีเพียงเตียง 2 เตียง โต๊ะทานข้าวและชั้นวางของแบบล้อเลื่อนอย่างละ 1 ตัว ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ แม้กระทั่งผ้าม่าน ผมเข้าใจว่าเขาต้องการให้มีแต่สิ่งของจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรค และมารู้ภายหลังว่าเป็นห้องความดันลบ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกข้างนอกได้เวลาเปิดประตู แต่พยาบาลก็ได้กำชับว่า เราห้ามเปิดประตูและหน้าต่างกระจกเองโดยเด็ดขาด รวมถึงแม่บ้านก็ห้ามทำความสะอาดห้องโดยการกวาด ถูได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีกล้องวงจรปิดติดไว้ เพื่อคอยดูอาการพวกเราตลอดเวลา


พยาบาลแจ้งข้อมูลเบื้องต้นว่า ทุกเช้าเย็นจะเข้ามาวัดความดันกับออกซิเจน และให้พวกเราคอยวัดอุณหภูมิร่างกาย รวมทั้งนับจำนวนการขับถ่าย เพื่อแจ้งเขาทุกรอบเช้าเย็นเช่นกัน ถ้าจะสั่งของใช้จำเป็นหรือของกิน สามารถสั่งมาส่งได้ที่จุดรับของใต้อาคาร และเขาจะเอาขึ้นมาให้ตามรอบ วันละ 2 รอบ


บ่ายวันนั้น เราทั้งสามคนได้รับการเอกซเรย์ปอด เมื่อถึงรอบอาหารมื้อเย็น ผมได้รับยาเม็ดมารับประทาน 9 เม็ด สักพักคุณหมอจึงโฟนอินเข้ามาที่ห้อง แจ้งว่า นั่นคือยาต้านไวรัส เพราะผลเอกซเรย์แจ้งว่า เชื้อในตัวผมเริ่มลงปอดแล้ว เช่นเดียวกับภรรยา แต่เขาไม่สามารถทานยาเม็ดได้เนื่องจากกำลังตั้งครรภ์ จึงจะให้ยาน้ำทางสายเหมือนกับการให้น้ำเกลือแทน ในขณะที่ลูกตอนนี้ปอดยังปรกติ ไม่ต้องทานยาอะไร


ใจผมเสียลงกว่าเดิมเมื่อทราบข้อมูลจากหมอ เพราะก่อนหน้านี้คิดมาตลอดว่าตัวเองอาการปรกติ และทำให้ตระหนักได้ว่า สถานการณ์อันโกลาหลของวิกฤตโควิด ได้เบี่ยงเบนความเครียดความกังวลของเรา ออกไปจากจุดที่ควรจะต้องสนใจจริง ๆ ความกังวลก่อนหน้านี้ของผมมีแต่ว่าจะติดโควิดหรือไม่ จะนำเชื้อไปติดคนอื่นไหม จะได้โรงพยาบาลรักษาเมื่อไหร่ โดยแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องอาการของโรคที่จะเกิดกับร่างกายเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างแรกเมื่อเราติดเชื้อ


ตอนหัวค่ำ พยาบาลไลน์มาบอกให้ผมกับภรรยาช่วยทำแบบทดสอบประเมินความเครียด และบอกว่า ถ้าเรามีอะไรอยากปรึกษาจิตแพทย์ที่นี่ก็สามารถบอกได้ แต่ผมไม่กล้าพอที่จะบอกเขาว่า ผมอยากปรึกษา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ความเครียดที่สะสมมาหลายวันนั้นพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา


พยาบาลอนุญาตให้เราเลื่อนเตียงมาชนกัน เพื่อวางเบาะให้ลูกได้นอนตรงกลางร่วมกัน แต่คืนแรกนั้นเด็กน้อยขอเอาเบาะลงไปนอนข้างล่างติดกับประตูห้อง บอกว่า ถ้าพยาบาลมาจะได้คอยเรียกแม่ให้


ผมฟังลูกพูดแล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ด้วยความรู้สึกผิดว่าตนเองพาครอบครัวมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่เสี่ยงที่สุดของการเป็นโควิด ทั้งภรรยาท้องแก่ ลูกเล็ก ในขณะที่แม่ซึ่งมีโรคประจำตัวหลายอย่าง ก็ยังไม่รู้ผลว่าจะติดหรือไม่


ผมเริ่มนึกภาวนาตามคำพูดแม่ที่ตอนแรกผมไม่ได้สนใจ “ขอให้ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”


เมื่อทุกคนหลับหมด ผมยังคิดเรื่องนี้วนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ และยังคงเป็นอย่างนี้ไปอีกหลายวันต่อมา บางครั้งต้องเข้าห้องน้ำไปแอบร้องไห้เพื่อไม่ให้ใครได้ยิน


ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้น ผมเห็นข่าวนายตำรวจคนหนึ่งผูกคอตายในห้องน้ำโรงพยาบาล ขณะรักษาตัว เนื่องจากความเครียดที่ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก ผมอ่านแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่า ตอนที่ตัดสินใจนั้น เขารู้สึกอย่างไร


เพื่อน ๆ หลายคนพยายามบอกว่า อย่าอ่านข่าวมากนัก ผมเข้าใจดีว่าพวกเขาคงกลัวผมจะเอาหลายข่าวช่วงนั้นมาเชื่อมโยงกับครอบครัวตัวเอง เพราะตอนนั้นมีทั้งข่าวการเสียชีวิตของผู้ชายอายุไล่เลี่ยกันกับผม ที่เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน หรือผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์


แต่ทางหนึ่งผมก็คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผมรู้ซึ้งว่า การอ่านข่าวโควิดตอนที่ตัวเองเป็นแล้วกับก่อนจะเป็นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมนึกถึงเวลาเราอ่านเรื่องสงคราม โดยที่ชีวิตเราไม่เคยผ่านสงครามมาก่อน มันทำให้เราไม่อาจเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ในนั้นได้จริง ๆ แต่ขณะนั้นผมกำลังเข้าใจความรู้สึกของคนในข่าวโควิด เพราะได้พาให้ตัวเองและครอบครัวพลัดเข้ามาอยู่ในสมรภูมิของสงครามนี้เข้าแล้ว


ข่าวหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษในตอนนั้น คือข่าวของคุณอัพ อดีตเกมเมอร์ ที่เสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาได้ไม่กี่วัน เพราะก่อนหน้านี้หาที่ตรวจไม่ได้ ทำให้ผมนึกถึงเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วที่ให้เพื่อนซื้อมาให้แม่คอยตรวจ ตอนแรกก็คิดว่าอย่างน้อยเรายังมีอะไรเป็นเครื่องวัด ถ้าค่าออกซิเจนของแม่ต่ำ ก็รีบเรียกรถพยาบาล


หรือเวลามีคนหลังไมค์มาปรึกษาว่ากลัวจะติดโควิด แต่ไม่มีต้นตออ้างอิงในการไปตรวจ ผมก็จะแนะนำให้ซื้อเครื่องนี้มาวัดดูก่อน ถ้าค่าไม่ดีค่อยไป รพ. แต่พอเจอเคสนี้และอีกสองสามรายต่อจากนั้นที่คล้าย ๆ กัน ทำให้คิดใหม่ว่า ต่อให้วัดออกซิเจนแล้วค่าต่ำมาก ก็คงไม่สามารถโทรให้รถมารับได้ นอกจากได้รับคำแนะนำให้ไปตรวจก่อน


แต่ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลก็มีข้อจำกัดในการตรวจ ยิ่งถ้าไม่มีประวัติพบผู้ติดเชื้อมา ยิ่งยากที่จะได้ตรวจ นอกจากยอมเสียเงินหลายพัน อย่างเคสผม ถ้าเชื่อสายด่วนในตอนแรกว่า ยังไม่ต้องไปตรวจ แต่ในความเป็นจริงนั้นเชื้อลงปอดแล้ว สุดท้ายผมอาจมีจุดจบที่น่าเศร้าไม่ต่างกัน และอาจเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในข้อสรุปของ ศบค. ที่แถลงออกมาในช่วงนั้นว่า ระยะเวลานับจากวันที่รู้ผลว่าติดเชื้อโควิดจนถึงวันที่เสียชีวิตในการระบาดระลอกนี้นั้นสั้นลงกว่าเดิม ซึ่งผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เพราะข้อจำกัดและความซับซ้อนของการตรวจ ที่ทำให้บางกรณีกว่าจะได้ตรวจก็ช้าเกินการณ์ไปมากแล้ว


นอกจากข่าวในสื่อออนไลน์ ผมยังต้องตามข่าวคนรอบตัวที่ผมพบปะมาว่ามีใครติดเชื้อจากพวกเราไปหรือไม่ ซึ่งเกือบทั้งหมดนั้นไม่มีใครติดเลย ยกเว้นคนเดียวคือแม่ผม ซึ่งผลออกมาในวันศุกร์ที่ 23 ว่าเป็นบวก


ในคืนนั้น ผมเห็นข่าวว่าน้าค่อมกำลังทรุดหนัก ใจหนึ่งก็ภาวนาให้เขาหายโดยเร็ว ใจหนึ่งกังวลถึงแม่ซึ่งอายุใกล้เคียงกัน รวมทั้งมีโรคประจำตัวคือความดันและไขมันในเลือด ระดับน้ำตาลก็สูงจนเริ่มเข้าสู่ภาวะเบาหวาน ความรู้สึกผิดและความเครียดได้เพิ่มพูนขึ้นมาในใจผมอีกเท่าตัว โดยเฉพาะเมื่อแม่ได้เข้ามารักษาที่โรงพยาบาล และผลเอกซเรย์คืนแรกพบว่า เชื้อกำลังลงปอดแล้วเช่นกัน


หลายคนพยายามบอกผมว่า อย่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะไม่มีใครอยากให้ใครติดเชื้อ และแม้จะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ครอบครัวผมติดเชื้อจากการไปเที่ยวช่วงต้นสงกรานต์หรือไม่ แต่ผมก็ยังคงคิดเสมอว่า ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมไม่ควรตัดสินใจในสิ่งทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยง แม้จะรู้ว่าย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ความคิดผมก็ยังคงนึกย้อนกลับไปอยู่ตลอดเวลา


แม่ได้เข้ามาอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับผม แต่อยู่ที่ห้องผู้ป่วยรวม วันแรก เขาโทรมาเล่าให้ฟังว่า มีเด็กรุ่น ๆ เดียวกับลูกผมอยู่ด้วย เห็นแล้วคิดถึงหลานจับใจ


ผมฟังแล้วก็ยังรู้สึกใจชื้นว่า แม่ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ดูแล้วอาจจะไม่เหงาเท่าไรนัก เพราะมีคนอยู่ด้วยกันมากมาย แต่พอเช้าวันถัดมา แม่กลับโทรมาร้องไห้บอกว่า ยายที่ป่วยพร้อมเด็ก ถูกพาไปห้องอื่น อาจเพราะอาการหนัก เด็กจึงต้องอยู่ลำพัง มีเพียงคนในห้องที่คอยช่วยกันดูแล จนกระทั่งวันถัดมาจึงได้ข่าวว่ามีญาติมารับไปกักตัวที่อื่นแล้ว


เมื่อมีเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องแบบนี้ก็จะยิ่งดูเศร้ามากไปกว่าเดิม วันแรก ๆ ที่ผมเข้ามาอยู่ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องจากห้องข้าง ๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นทารกวัย 6 เดือนที่เข้ามาอยู่กับครอบครัว เด็กน้อยร้องเกือบตลอดเวลาเพราะมีไข้สูง ผมนึกถึงหัวอกคนเป็นพ่อแม่ว่าเสียงร่ำไห้ของลูกในสถานการณ์อย่างนี้ คงเหมือนมีดที่บาดเข้าตรงกลางใจ


ลูกผมเองแม้จะไม่มีอาการทางกายอะไร แต่ผมและภรรยาก็ต้องหาวิธีประคับประคองอารมณ์และจิตใจไม่ให้เครียดที่ต้องอยู่ในห้องแคบ ๆ ทุกวัน ผมต้องคอยอุ้มลูกไปยังระเบียง มองผ่านกระจกกั้น เพื่อดูชีวิตที่เคลื่อนไหวข้างนอกให้คลายเหงา ในขณะที่กระจกอีกฝั่งหนึ่งมองทะลุเห็นห้องตรงข้ามเพราะเราต่างไม่มีม่านกั้น เขาน่าจะมาก่อนผมหลายวันและอยู่เพียงลำพัง เราได้แต่เหลือบตามองชีวิตประจำวันของแต่ละคนกันผ่าน ๆ ไม่กล้าทักทายอะไร แอบสังเกตว่า เขาก็คอยมองลูกผมบ่อย ๆ เวลาที่เด็กน้อยทำอะไรตลก ๆ


ผ่านไปสักห้าวันหลังจากที่ครอบครัวผมเข้าแอดมิต ระหว่างที่ผมเล่นกับลูก จู่ ๆ เจ้าตัวเล็กก็หันไปโบกมือให้เขา ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นรอยยิ้มเขาเป็นครั้งแรก วันถัดมา เขาฝากขนมถุงใหญ่ผ่านพยาบาลมาให้ พอตกบ่ายก็เห็นเขาเก็บของกลับบ้าน ผมจึงเขียนใส่กระดาษให้ลูกถือแปะกระจก ให้เขาอ่านตอนเดินออกไ ปว่า


"ยินดีด้วยครับ ขอบคุณสำหรับขนมครับ" เป็นการจากลากันอย่างประหลาด น่าแปลกที่พอเขาไป ครอบครัวเราก็รู้สึกเหงาขึ้นมาวูบหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคุยกันสักคำ


อาจเพราะโควิดเป็นโรคที่เดียวดาย ไม่มีใครมาเยี่ยมใครได้ แม้แต่คนในครอบครัว มีแต่เพื่อนข้างเตียง หรือคนข้างห้องที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน และเห็นหน้าจนผูกพันกันอยู่ทุกวัน

กิจวัตรการรักษาเราดำเนินไปเหมือนกันทุกวัน ทุกเช้าเย็น พยาบาลในชุด PPE จะคอยมาเช็คความดัน ออกซิเจน อุณหภูมิร่างกาย และจำนวนการขับถ่าย ส่วนคุณหมอจะคอยโฟนอินเข้ามาเป็นระยะ ผมได้รับการเอกซเรย์อีกสองครั้ง หลังจากผ่านครั้งแรก ก็ได้ยาต้านลดลงจาก 9 เม็ดเหลือ 4 เม็ด


และพอครั้งที่สอง เมื่อผ่านการแอดมิตไปราวหนึ่งสัปดาห์ ก็ได้หยุดรับยา แม่ผมเองก็เป็นแบบเดียวกัน ส่วนลูกนั้นเอกซเรย์เพิ่มอีกหนึ่งครั้ง และพบว่าปอดยังปรกติเหมือนเดิม จึงไม่ต้องรับยาใด ๆ ไปจนจบการรักษา


ในขณะที่ภรรยาผม เนื่องจากตั้งครรภ์ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการเอกซเรย์ และรับยาทางสายไปเรื่อย ๆ จนหยุดรับยาไปพร้อมกับผม นอกจากนี้ เรายังถูกเจาะเลือดไปเช็คอีกหนึ่งรอบ หลังจากที่เคยเจาะไปในวันแรกที่แอดมิต ซึ่งผลไม่มีอะไรน่ากังวลเกี่ยวกับโควิด แต่ทำให้พบว่า ภรรยาของผมมีภาวะเลือดจาง อันส่งผลเกี่ยวเนื่องกับการตั้งครรภ์ ทำให้ได้รับยาธาตุเหล็กมากินเพิ่ม


วันที่ 30 เมษายน ฝนที่ตกมาตั้งแต่กลางคืน ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีเทาตลอดทั้งวัน และยิ่งดูรู้สึกหม่นหมองลงไปอีกถนัดตา เมื่อได้ข่าวว่าน้าค่อมเสียชีวิต


จริง ๆ แล้วทุก ๆ ชีวิตที่เสียไปล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเศร้า แต่เรามักรู้จักพวกเขาแค่ในจำนวนนับรายวันของ ศบค. ต่างจากน้าค่อมที่เป็นคนมีชื่อเสียง และทำให้คนทั้งประเทศ เกิดความรู้สึกร่วมกันถึงคำว่า “เห็นกันอยู่หลัด ๆ” อย่างใจหาย รวมทั้งยิ่งตระหนักได้ว่าโควิดเป็นโรคที่คาดเดาไม่ได้ แม้ส่วนมากอาการไม่หนัก แต่คร่าชีวิตไปได้อย่างปุบปับยิ่งกว่าโรคร้ายใด ๆ


ในคืนเดียวกันนั้น แม่ผมถูกย้ายไปโรงพยาบาลสนามอีกแห่งหนึ่ง เพื่อเคลียร์เตียงรอรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่า แม่เก็บข้าวของนั่งรถพยาบาลไปเพียงลำพัง ใจหนึ่งผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันเป็นสัญญาณบอกว่า แม่ไม่มีอาการอะไรน่าห่วง แต่ใจหนึ่งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ที่ต้องไปเริ่มปรับตัวใหม่ ถ้าเป็นเวลาปรกติ แม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้ เราคงได้ไปนอนเฝ้า


ไม่นานหลังจากนั้น ผม ภรรยา และลูก ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล เด็กน้อยดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้กลับบ้าน ส่วนผมรู้สึกเพียงแค่ว่า ก่อนหน้านี้ เรายืนอยู่บนขอบเหรียญแห่งความเป็นความตาย โดยที่ไม่รู้ว่าจะพลิกออกมาเป็นหน้าไหน ซึ่งโชคดีที่สุดท้ายมันพลิกออกมาในด้านที่ทำให้เราได้รอดพ้นอย่างไม่บาดเจ็บมากนัก หลังจากนั้น 2 วัน แม่ก็ได้ออกมาเช่นเดียวกัน


คำภาวนาของเขาที่ว่า “ขอให้ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม” จึงได้กลายเป็นจริง


เราได้รับแจ้งว่า ให้กักตัวอยู่ที่บ้านต่ออีก 7 วัน แต่โรงพยาบาลบางแห่ง เช่นที่เพื่อนผมไปรักษา แจ้งว่า 14 วัน เราจึงเลือกกักตัวกันไปต่อจนถึงตอนนั้น แต่แม้จะกักตัวจนเกินกำหนด คำว่าใช้ชีวิตปรกติคงยังห่างไกลครอบครัวผมไปอีกสักพักใหญ่ ๆ อย่างเช่นวันก่อน ผมต้องพาภรรยาไปคลินิกเอกชนเพื่อฝากครรภ์ เนื่องจากคลินิกพิเศษในโรงพยาบาลที่ไปฝากอยู่ประจำนั้นปิดชั่วคราว เมื่อภรรยาแจ้งทางคลินิกไปว่า เราผ่านการรักษาโควิดมา เขาก็ให้เรานำเอกสารไปยืนยันด้วย และเมื่อไปถึง ก็ให้นั่งรอแต่ในรถ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรายอื่น ผมเข้าใจดีที่เป็นแบบนี้ เพราะลำพังคนทั่วไปยังแทบจะใช้ชีวิตปรกติกันไม่ได้ คนที่เคยผ่านการติดเชื้อมาอย่างครอบครัวผม ก็ยิ่งต้องถูกระวังมากกว่า ตราบใดที่สถานการณ์มันยังน่าหวาดกลัวอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้


ช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือน ที่ได้ตกอยู่ในวงโคจรของโควิด ทำให้ผมได้คิดทบทวนอะไรต่าง ๆ มากมาย ก่อนที่อีกไม่นาน ลูกคนที่สองของผมจะเกิดมา


อย่างหนึ่งที่คิดย้อนไปถึงคือ ช่วงที่ไวรัสนี้ระบาดใหม่ ๆ เมื่อต้นปีก่อน มีเพื่อนที่พยายามจะมีลูกมาสักพัก เล่าให้ฟังว่า เหมือนกำลังจะตั้งท้อง ตอนนั้นผมบอกไปว่า ทำไมไม่รอให้หมดโควิดก่อน จะได้ไม่เสี่ยงและไม่ต้องอุ้มท้องไปเจอคนมาก ทุกวันนี้เพื่อนคลอดลูกออกมาแข็งแรงสมบูรณ์ปลอดภัย ปล่อยให้ความเห็นที่ว่านั้นย้อนมาเข้าตัวผม ซึ่งพูดไปโดยไม่ทันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน ซ้ำยังไปพาให้มันเข้ามาอยู่ในตัวเราและภรรยาที่กำลังตั้งท้องเองด้วย ยังดีที่คุณหมอบอกว่า ถ้าคุณแม่ติดเชื้อช่วงที่อายุครรภ์อยู่ในไตรมาสที่ 3 คือ 7-9 เดือน ความเสี่ยงที่ลูกในท้องจะมีปัญหาจากโควิดนั้นต่ำมาก


อย่างไรก็ตาม คำว่าต่ำก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีเลย นี่จึงเป็นความกังวลสุดท้ายอันเนื่องมาจากบทเรียนโควิด ที่ผมยังคิดภาวนาให้เหรียญนี้พลิกออกมาเป็นด้านดีอีกสักครั้ง


---

ขอบคุณ พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู เจ้าของข้อเขียน และภาพถ่าย

---


#TheIsaander #Isaan #Isaannews #อีสานเด้อ #อีสาน #ข่าวอีสาน #ดิอีสานเด้อ #โควิด19 #โคโรนาไวรัส #เจ็บป่วย #หน#อนุทิน #สาธารณสุข #รอ #วัคซีน #อยู่ #นะ #ไอ้สัส #น้าค่อม

---


ติดตาม The Isaander ได้ในหลายช่องทางดังนี้

---


เว็บไซต์ www.theisaander.com

เฟซบุ๊คแฟนเพจ https://www.facebook.com/theisaander

อินสตาแกรม www.instagram.com/theisaander

ทวิตเตอร์ twitter.com/TIsaander





148 views0 comments
bottom of page