top of page
  • Writer's pictureThe Isaander

บทเพลงรักหลากซิงเกิ้ล เมื่อศิลปะส่องแสงสร้างสรรค์ ใต้ดวงตะวันของคนหนุ่ม



"ดอกทานตะวันมันดูเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ดูเบิกบานในเช้าตรู่ มันทำให้คิดถึงตัวเราเอง ที่พร้อมจะตื่นมาพบกับวันใหม่ด้วยความสดใส เราอยากเป็นเช่นทานตะวัน ด้วยสีเหลืองของทานตะวันนี่แหละ ในสัญญะของสี ในภาษาศิลปะ สีเหลือง แทน ความสุข ความสนุก ร่าเริง เราอยากให้เพลงเราเป็นเช่นนั้น"


The Isaander ชวนนักศึกษาศิลปะ จาก ม.มหาสารคามคนหนึ่งมาพูดคุย เขาคนนี้พื้นเพเป็นคนกาฬสินธุ์ เติบโตในครอบครัวเล็กๆในชานเมืองแห่งนั้น เรียนมาทางทัศนศิลป์ หลังโปรเจคระหว่างเรียน นอกจากเล่นหนังสั้นแล้ว เขายังมีโลกคู่ขนานคือ การทำวงดนตรี


" ภาวนา " เพลงป๊อปสดใส เนื้อหามองโลกในแง่จริงในฝันใต้ดวงตะวัน ทำให้วง Jiranun ของเขา ที่มีสมาชิกเพียงหนึ่งเดียว ทะยานขึ้นชาร์จอันดับหนึ่งฟังใจมาแล้ว


และยังคงรังสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะขึ้นไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ระยะหนึ่ง เพื่อลับฝีมือทาง Conceptual Art ในสตูดิโอศิลปินท่านหนึ่งและบางทีอาจลับฝีปากด้วยเพราะเตรียมมาคุยกับพวกเรา


แม้ชื่อเล่นจริงๆของ กฤษฎา ผลไชย จะชื่อเบล แต่ในบทสัมภาษณ์หมอนี่อยากให้เราใช้ชื่อว่า”ถั่ว “ ตามชื่อในเฟซบุ๊กเขา และบทสนทนาจะให้น้ำหนักไปที่พาร์ทดนตรีมากหน่อย เพราะเราสงสัยว่าคนๆเดียวในวัยยังไม่พ้นทีนเอจดี จะทำเพลงทำวงดนตรีอะไรได้มากมายขนาดนี้


* ต้องขออภัยคุณผู้อ่าน หากบางคำถามรู้สึกเป็นกันเองมากไป เพราะเราค่อนข้างคุ้นเคยกับตัวผู้สัมภาษณ์ดี และแน่นอนว่าเขาคนนี้ก็ได้ตอกกลับพวกเราไปหลายครั้งหลายคราเหมือนกัน


_______________________________


+ คุณเล่นดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนเล่นดนตรีมีหวังอะไร ได้สาว ได้ชื่อเสียง ได้เงินทอง ?


ถั่ว: เราไม่นิยามตัวเองเป็นนักดนตรี เราไม่ใช่นักดนตรี เราเป็นนักสร้างสรรค์มากกว่า เพราะเราไม่ได้ทำแค่ดนตรี มันยังมีงานศิลปะ งานเขียนบทความ ที่เรารักให้ได้ทำอยู่ แล้วงานในพาร์ตดนตรีสำหรับเรามันเป็นอีกหนึ่งงาน หนึ่ง passion ของเราเท่านั้น ด้วยความที่ชอบเขียนบทความ และทำงานศิลปะอยู่แล้ว เราหยิบสองอย่างนี้มารวมกัน คือ การใช้บทความเข้ามาเป็นเนื้อเพลง และใช้การสร้างสรรค์ สร้างท่วงทำนองดนตรีขึ้นมา


การเริ่มเล่นดนตรีของเรามันมีช่วงที่เริ่มเพราะหญิงก็มี เพราะอยากมีชื่อเสียงก็มี แต่เริ่มเล่นจริงๆ มันเคยเกิดขึ้นเมื่อตอนเด็ก อายุประมาณ ป.2 ป.3 ในตอนนั้นเราไม่ได้อินกับดนตรี เราอินกับงานศิลปะมากกว่า มันทำให้ดนตรีหายไปจากชีวิตเรา มันกลับมาอีกครั้งเมื่อตอน ม.5 ตอนนั้นเพื่อนชวนทำเพลง เพลงแรกในชีวิตที่ทำกันเอง ตอนนั้นสนุกมากๆ ได้ทำเพลงกับเพื่อนโดยที่เราไม่มีความรู้อะไรเลย เล่นได้ก็งูๆ ปลาๆ การได้เห็นรอยยิ้มเพื่อนสมาชิกที่นั่งทำเพลงด้วยกัน มันรู้สึกดีจริงๆ นะ ตอนนี้เพลงนั้นยังอยู่บน youtube อยู่เลย แต่เพลงหลังๆ passion เราก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่ประสบในแต่ละช่วงชีวิต


สรุปแล้วการเริ่มเล่นดนตรี หรือทำเพลงจริงจังคือ มันเกิดเพราะความรู้สึกดี รู้สึกมัน ที่ได้ร่วมทำงานกับเพื่อนสนิท ความสุขในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่มันกลับฝังอยู่ในความรู้สึกไปตลอดกาล


+หลังจากชีวิตที่ทำเพลงตั้งแต่ ม.5 ในวันนั้น อะไรที่พอจะเรียกว่าคุณไปในเส้นทางสายนี้ได้ ?


ถั่ว: เรื่องเล่าเราเยอะมากมาย มันมีครั้งที่เพลงเราติดท็อปอันดับหนึ่ง จาก 20 ในฟังใจ ขออธิบายถึงฟังใจ (fungjai ) ก่อน ฟังใจคือพื้นที่ฝากเพลงของศิลปินหน้าใหม่ที่ทำเพลงเอง มีเพลงเป็นของตัวเอง จะทำเพลงแบบอาร์ตก็ได้ จะทำเพลงแบบฟังทั่วๆ ไปก็ได้


แล้วก็มีคนฟังเพลงจากเว็บนี้เยอะพอสมควร กลับมาเข้าเรื่องเราต่อ ตอนนั้นตกใจมากๆ เราฝากเพลงกับฟังใจ ตกใจเพราะเคยขึ้นประปรายไม่ถึงอันดับหนึ่ง ลงเพลงทุกครั้งก็อยากให้ทุกคนฟังเพลงเราแหละ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะเกิดปัญหาจากเว็บ เว็บล่ม แล้วเราอัพเพลงลงเป็นเพลงสุดท้ายพอดี คนอื่นๆ จึงไม่สามารถอัพเพลงใหม่ต่อจากเราได้ ทำให้เพลงเราค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นเกือบเดือน ยอดวิวก็พุ่งตามไปด้วย จนได้ท็อปบนฟังใจ


ตอนนั้นไม่รู้จะขอบคุณโชคชะตา หรือขอบคุณเว็บฟังใจดี ทำให้คนได้ฟังเพลงเรามากขึ้น เพลงที่พ่วงจากเราก็ไม่ได้ขึ้นท็อปเหมือนเรา แล้ววิวก็ห่างกันไกลจากเรา เหตุการณ์นี้แหละ เป็นเหมือนอีกหนึ่งพลังใจให้แก่เรา ได้ทำงานต่อไปด้วยความเข้าใจที่ว่า ยังมีคนฟัง และสนใจเพลงเราอยู่นะ


+ ตอนนี้วงคุณเป็นดนตรีแนวไหน หรืออะไรก็เป็นโฟล์คไปหมดแล้วทุกวันนี้ ?


ถั่ว: เราไม่ได้ทำวงเดียวนะ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราสนุกกับการทำเพลงมากๆ ณ ตอนนี้ เราใช้ชื่อวงมาเข้าชื่อที่ 5 แล้ว เริ่มตั้งแต่ xsize (เป็นการเริ่มต้นด้วยเพลงป๊อปโดยมี armchair scrubb ฯ เป็น model) , slothsleepp (เป็นการทำเพลงแบบ rock + post rock โดยใช้ greasy cafe, goose ฯ เป็น model แต่ในพาร์ตดนตรีก็เปลี่ยนไปตามอัลบั้มที่ทำอยู่ดี) , jiranun (เป็นการทำเพลงแบบ folk pop ไม่มีวงไหนเป็น model แค่อยากทำโฟล์คที่ฟังง่าย แล้วสนุก) , heartless (เป็นวงที่ทำเพลงแบบ synth เยอะๆ ออกเพลง cover มาเพลงเดียว) , และล่าสุดเป็น ถั่วบ้านไม้ (อันนี้ตั้งใจทำเป็นโฟลคเพรียวๆ เลย ด้วยเหตุที่ว่า ไม่มีเวลาทำดนตรีรกๆ อย่างเก่าอีกแล้ว )


ดังนั้นแล้ว การจะให้เรานิยาม หรือกำหนดว่าเราคือวงดนตรีแนวไหน เราบอกไม่ได้ ส่วนตัวเราชอบ post rock แต่เราก็ไม่เอาดนตรีแนว post rock มากำหนดว่าเราต้องทำแค่ post rock เรายังสนุกกับการทำดนตรี เรามีความสุขกับการเขียนเนื้อเพลงอยู่ ที่มีชื่อหลายๆ วง ก็เพราะว่าเรากระจายแนวดนตรีออกไป ให้เราสร้างสรรค์เพลงออกมาได้อย่างหลากหลาย โดยไม่ตีกรอบแคบๆ ให้กับตัวเราเอง


พื้นฐานทำเพลงคนเดียวทั้งหมด เลยไม่มีข้อจำกัดว่าเมื่อไหร่ที่เราชื่อนี้ เราต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป เรื่องของเพลงเป็นเรื่องการสื่อสาร ฉะนั้นแล้วเพลงที่เราทำ มันก็คือบันทึกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าที่ถ่ายทอดออกไป ว่าช่วงหนึ่ง มันเคยเกิดขึ้นกับเรา และใครอีกหลายๆ คน


+เพลงที่คุณแต่งพูดถึงอะไรบ้าง เกี่ยวกับประชาธิปไตยบ้างไหมอ่ะ เอาสักนิดก็ได้ ?


ถั่ว: ประชาธิปไตยแบบไหนละ (ขออนุญาตมองแรง +หัวเราะ) ประชาธิปไตย เขียนถึงหรือเปล่า อือ . . . เราเขียนเพลงถึงความเท่าเทียมในสังคม ในชีวิต อย่างนี้มันคือการเขียนถึงประชาธิปไตยหรือเปล่า ไม่รู้นะ แต่หลายๆ เพลงที่เราเขียน มันมีแง่ที่เพ้อ มีแง่ที่หลุดจักรวาล มันมีแง่ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ และยังมีแง่ที่เนื้อหาไม่ได้ให้อะไรกับคนฟังเลยก็มี เพราะในหลายๆ เพลง เรามีเนื้อหาในเพลงที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่เราพบ เราหยิบสถานการณ์นั้นแหละ มาประยุกต์เขียนเนื้อหาที่ต้องตีความเข้าไปอีก


แทรกคำบางคำที่ใช้แทนสัญลักษณ์ต่างๆ มาประกอบ อย่างเช่นประโยคที่ว่า "ในคืนเงียบงันพาเธอพ้นเรื่องราว" ในการย่อความของเราคือ " ในวันที่เธอเหนื่อย เธอควรหลับพักผ่อน เธอไม่ได้หลับเพียงลำพัง แต่เธอยังมีค่ำคืนที่ส่งเธอเข้านอนคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอจนถึงฟ้าสว่าง " แล้วในค่ำคืนมีอะไรบ้าง ดวงดาว ดวงจันทร์ เมฆดำ สายลมเบาๆ อะไรประมาณนี้


ดังนั้น เนื้อหาที่เรานำเสนอในเพลง มันค่อนข้างหลากหลายนะ แต่จะตีให้แคบลงมาหน่อย ก็คงเขียนถึงชีวิตภาพสังคม เขียนถึงความรักที่เกิดบนโลกไม่ใช่แค่สัมพันธ์แบบคู่รัก เราว่าเราชอบการเขียนเนื้อหาแบบ ให้คนฟังได้อะไรไปเปลี่ยนแปลงในชีวิต ให้อะไรกับชีวิตเขามากกว่า มากกว่าการเขียนเพลงอกหักแล้วให้คนรู้สึกอกหักตาม คือ การเขียนเพลงอกหักแล้วให้คนได้คิดอะไรตาม ทำให้เรื่องอกหักเป็นเรื่องที่สามารถแยกแยะออกได้ แล้วชีวิตเขาได้ยิ้มรับวันต่อไป



+ โอเค คำถามนี้ ตั้งใจถามดีๆละ คิดว่าจุดเด่นของเพลงคุณคืออะไร ทำไมต้องฟังวงนี้ ไม่ไปฟัง The Photo Sticker Machine ?


ถั่ว: เป็นการเปรียบเปรยที่น่าเคาะกะบาลมาก ฮ่าๆ คืออย่างนี้ การทำเพลงของเราไม่ได้มีพื้นฐานจากการที่เล่นดนตรีเก่งมาก หรือเป็นที่รู้จักในวงการดนตรี หรือแม้กระทั่งไม่ได้ร้องเพลงเพราะ เราเริ่มทำเพลงเพราะเรารัก เราสนุก ฐานคนฟังเลยน้อยมากๆๆ เทียบกับวงอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง หน้าตาดี เสียงเพราะ เป็นที่รัก ที่รู้จักต่อใครหลายๆ คน จุดยืนของเราจึงอิสระ เราได้ทำสิ่งที่เราชอบ กับสิ่งที่เรารัก มันก็เพียงพอแล้ว ถึงจะไม่มีคนฟังก็ตาม จุดยืนของเรามันชัดเจนอยู่แล้วว่า เราทำงานศิลปะ เราเรียนศิลปะ เรารู้วิธีการจัดการ การสร้างสรรค์เพลงออกมายังไงให้เป็นตัวเราอย่างอิสระ


มันจะมีหลายๆ เพลงที่เราทำดนตรีออกมาด้วยการใช้เสียงทดลอง เคาะนู่น ดีดนี่ ผสมนั่น ให้มันเกิดเป็นเสียงใหม่ ที่เราคุ้นชินจากที่ได้ยินผ่านๆ มา เรานำมันมาประยุกต์ใช้อย่างมีเหตุและผลนะ ไม่เพียงแค่การใช้ดนตรีทดลอง เรายังมีการทำปกเพลง หรือกระทั่ง อาร์ตเวิร์คต่างๆ เราสร้างมันขึ้นมาตามที่เราชอบ ตามที่เราอยากสื่อสารกับคนเสพย์งาน เราทำเพลงเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ทำน้อยมีไว้ประดับสะสมได้ เราดีใจที่มีคนให้ความสำคัญกับจุดเล็กๆ ของเรา


พูดถึงจุดเด่นของเพลงเราแล้ว มันเป็นเพียงจุดเล็กๆ แหละ ที่เราแทรกเข้าไปในเพลง ส่วนใหญ่แล้วคนฟังเพลง เขาก็ฟังแค่เนื้อหา ทำนองเพลง นี่ใช่มั้ยถึงจะเรียกว่าเพลง แต่ไม่ใช่กับเรา เรามองว่าเพลงหนึ่งเพลงสำหรับเรามันคืองานศิลปะ ตั้งแต่รากจนถึงยอด มันต้องมีเรื่องราวที่ดี เราใช้อิสระที่ทำเพลงคนเดียวสร้างสรรค์มันขึ้นมา ตั้งแต่ดนตรี เนื้อหาของเพลง ปกเพลง ภาพประกอบต่างๆ นี่หละมั้งคือจุดเด่นที่เราพยายามนำเสนอ คือ ทุกอย่างที่เราคิดแล้วสร้างมันออกมาด้วยมือของเราจนเพลงสมบูรณ์ มันคือจุดเด่น



+ แล้วมีวงที่ชอบบ้างไหม คุณได้อะไรจากวงเหล่านี้ ?


ถั่ว: มันจะมีวงที่อยู่ในใจเราตลอดกาลคือ วง scrubb เพราะไอดอลในการเขียนเพลง ทำเพลงตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็ได้ scrubb นี่แหละเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเพลง ทำเพลงที่แบบไม่มีใครฟัง จริงๆ ในยุคนั้น scrubb ถือว่าเป็นวง alternative รู้จักน้อย และไม่ค่อยมีคนรู้จักเพลงลึกๆ ของ scrubb เราติดตามเพลงพี่ๆ ตั้งแต่ ม.ต้น แล้วเราก็ติดตามเขาเสมอมา


แต่ถ้าพูดถึงทำไมเพลงเราถึงมี post rock , indy folk , synth ด้วย เพราะเริ่มจากการชอบ scrubb อย่างบ้าคลั่งนี่แหละ ทำให้เราต้องตามไปดูว่ากระบวนการทำเพลง กระบวนการความคิดของพี่ๆ เริ่มจากไหน มายังไง เขาก็แนะนำหลายๆ วงมาในบทสัมภาษณ์ เราก็ตามไปฟัง แล้วยังเจอเพลงอีกหลายร้อยเพลงที่พอเราได้ฟังแล้วเราชื่นชอบ ในระบบ youtube เมื่อก่อนจะแนะนำเพลงที่ใกล้เคียง เราก็กดฟังไปเรื่อยๆ เราก็ไปเจอเพลงต่างประเทศอย่างเช่น blur , daugther , low , sigur’ros และอีกหลายๆ วงที่ไม่ได้เอ่ยถึง วงเหล่านี้แหละที่นำพาเราให้ทำดนตรีแปลกๆ เสียงประหลาดๆ ขึ้นมา


ไม่ใช่แค่วงต่างประเทศที่มีผลต่อเรานะ ยังมีวงไทยที่นอกกระแสที่เราปลื้มมากๆ คือ Desktop Error , Monomania , Goose , Greasy Cafe และอื่นๆ วงเหล่านี้ยังคงมีอิทธิพลต่อเพลงที่เราทำเช่นกันทั้งในส่วนของเรื่องเนื้อหา และดนตรี


+ ความเจ็บปวดของนักดนตรีคืออะไร ?


ถั่ว: ถ้าสำหรับเรา อย่างที่บอกไปในคำถามต้นๆ เราไม่ใช่นักดนตรี เราเป็นผู้สร้างสรรค์ ความเจ็บปวดสำหรับเราคือ บาดแผล เปรียบมันเป็นการเรียนรู้มากกว่า สิ่งที่เจ็บปวดที่พอจะนึกออก ฝังใจมาตลอด คือ เล่นร้านแล้วถูกห้ามไม่ให้เล่นเพลงตัวเอง เราเลิกเล่นแล้วไม่คิดจะเล่นร้านประเภทนี้อีก มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับใครๆ แต่สำหรับเรา เหตุผลที่เราใช้ต่อต้าน คือ เรามีเพลง มีผลงานของตัวเอง ทำไมเราจะแสดงออกไม่ได้


นั่นเป็นเพียงเรื่องเดียวทำใจไม่ได้ และไม่คิดจะเอาชนะ เรื่องอื่นๆ เราพอรับไหว อย่าง อุปกรณ์ดนตรีไม่มี หรือเครื่องบันทึกไม่พร้อม หรือไม่มีคนฟังเพลงเรา หรือแม้กระทั่งโดนดูถูกจากคนรอบๆ สิ่งเหล่านี้ เราสามารถสู้กับมันได้ เชื่อว่าแก้ปัญหาได้ มันทำให้เราไม่หยุดทำเพลง สุดท้ายแล้ว ความสุข ความรักนี่แหละ เหมือนเกราะป้องกันเราจากความบอบช้ำนั้น มันทำให้เรามีแรงสร้างงานต่อไป


+คิดว่างานดนตรีอย่างเดียวคงไม่รอด เราตอบให้เองเลย แต่จะถามว่าคุณมีโปรเจคอะไรในชีวิตที่อยากทำควบคู่มันไปบ้าง ?


ถั่ว: ดีครับ คำถามนี้ เป็นเหมือนพื้นที่โฆษณาให้งานเราเลย เรามีโปรเจคหลายอย่างมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นงาน passion ที่วางแผนไว้ในปี 62 คือ จะทำเพจพื้นที่ศิลปะในอีสาน จัดงานดนตรีศิลปะ และเป็นผู้ช่วยศิลปินในโอกาสต่างๆ แต่งานที่จะพาเราหาเลี้ยงชีวิตเราได้ เราวางแผนไว้ว่า เราจะทำงานแฮนด์เมดขาย ในแบบของเราเอง เพราะเรื่องปากท้องมันสำคัญนะ เพราะปากท้องต้องอยู่ด้วยความอิ่ม ความอิ่มมันมาจากเงิน เงินมันจะเกิดขึ้นเมื่อเราขยัน ปากท้องอิ่มงานก็ออกมาดี ออกมาในแบบที่ต้องการ


+ถ้าคุณดังขึ้นจากบทสัมภาษณ์นี้คุณจะกลับมาบอกพวกเราว่าอะไร ?


ถั่ว: สุดท้ายแล้วเนาะ ก่อนจะตอบคำถามสุดท้าย เราอยากจะฝากติดตามผลงานเพลง ผลงานศิลปะ ผลงานบทความ และฝากตัวเราด้วยเด้อ พูดคุยกันได้ผ่านเฟซบุ๊ก ถั่ว , instagram chibibelly และช่องทาง youtube ในชื่อ after image home studio ยินดีที่ได้เป็นหนึ่งบทความให้ใครหลายๆ คนได้อ่าน และได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน ได้ต่อยอดไปใช้ชีวิตเพื่อสร้างฝันต่อไป


ถ้าเป็นเช่นคำถามที่กล่าวไป ไม่มีอะไรเลยจะขอเลี้ยงเบียร์เลย ครึ่งลัง (หัวเราะ) แซวเล่น ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังกับชื่อเสียง แต่คาดหวังกับเงินทองเพื่อปากท้อง อยากนำเงินจากงานที่ได้มาจุนเจือชีวิตได้พัฒนางานให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ จะขอบคุณมากๆ ถ้าบทความนี้ทำให้ผู้เสพเพลง เข้าใจจุดประสงค์ในเพลงของเรา สิ่งนี้แหละจะทำให้ศิลปะเรางอกเงยและคงอยู่ไปแสนนาน ขอเป็นกำลังใจให้ทีมงาน The Isaander พัฒนางานต่อไปเช่นกันนะครับ ขอบคุณครับ :”)


_______________


ติดตามผลงานส่วนตัวเขาได้ที่ เฟซบุ๊ก https://web.facebook.com/chibibelly


เพจวง Jiranun : https://web.facebook.com/jiranunsunflower/


#Theisaander #มหาสารคาม #กาฬสินธุ์ #นักดนตรี #Jiranun #chibibelly #afterimagehomestudio #อาจารย์นักดนตรี #ศิลปิน #ศิลปะ #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #ร้านเหล้าเยอะ #นักดนตรีเลยเยอะตาม #ศิลปกรรม #มมส #ทัศนศิลป์

48 views0 comments
bottom of page