" พูดถึงใบปลิวหาเสียง บางคนอาจจะนึกว่าเฮ้ย ! ของไร้ค่า พอได้มาก็โยนทิ้ง ถ้าคุณเคยโยนใบปลิวของพรรคอนาคตใหม่ทิ้งลงขยะ มันไม่มีอีกเเล้ว มันไม่เหลือเเล้ว มันเป็นตำนานไปเเล้ว
แว่น อานนท์ ชวาลาวัณย์ ชายหนุ่มวัย 35 ปี เริ่มอธิบายถึงหมุดหมายการมีสิ่งที่เรียกว่า "พิพิธภัณฑ์สามัญชน" พิพิธภัณฑ์ออนไลน์ที่เขาตั้งขึ้นด้วยความหลงใหลในการบันทึกเหตุการณ์ทางการเมืองและการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน กล่าวได้ว่าเป็นงานภาคประชาสังคมที่บันทึกเรื่องราวของภาคประชาสังคมเลยก็ว่าได้
แรกเริ่มของสามัญ(ชน)บันทึก
แว่นเล่าต่อถึง พิพิธภัณฑ์โดยทั่วไป จะเกี่ยวกับอะไร เขาก็จะเลือกความทรงจำเหล่านั้นมาจากมุมมองของคนจัดทำ เช่น ของรัฐ รัฐประวัติศาสตร์ รัฐชาติ เขาก็จะเลือกมาว่า เขาอยากให้คนเห็นอะไร เพราะฉะนั้นเขาก็จะเลือกความทรงจำที่เขาต้องการให้เราจำ ซึ่งเเน่นอนว่า ของในม็อบหรือของอะไร มันเป็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน มันไม่ใช่สิ่งที่รัฐต้องการมาให้เป็นภาพจำ
"เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะดูการเมือง หรือคุณจะดูความเคลื่อนไหว ของประเทศทั้งประเทศเนี่ย คุณจะไม่สามารถดูได้อย่างรอบด้าน ถ้าคุณไม่เห็นของเหล่านี้ ถ้าคุณไม่เห็นของในม็อบ เพราะอะไร อย่างเช่นง่าย ๆ บริบทการเมืองไทยก่อนรัฐประหาร ถ้าไม่มีนกหวีด ไม่มีรูปเสื้อกำนันสุเทพ คุณก็จะไม่เห็น ของพวกนี้ คุณก็จะวิเคราะห์การเมืองได้ไม่เป็น เเต่พอมีของเหล่านี้ประกอบเรื่องเล่า มันก็จะช่วยเติมเต็มให้เราเห็นภาพการเมืองได้มากขึ้น " แว่นบอกเราไว้อีกตอนหนึ่ง
“จริง ๆ ของไม่ได้เก็บเเค่ช่วงปีรัฐประหาร 2557 นะ ถ้ามีเก่ากว่านั้น เเต่ว่าเราเพิ่งมาตกผลึก เพิ่งได้ไอเดีย คือเคยทำงานในฟิลด์คล้ายๆ อย่างนี้มานานเเล้ว เเต่ไม่ได้คิดอยากจะทำเป็นตัวเป็นตน จำไม่ได้เเล้วว่าไอเดียที่มาปิ๊งวันเเรกที่เริ่มทำเพจ นั้นคิดอะไรอยู่ในหัว ส่วนใหญ่วัตถุที่เก็บจะเป็นของการเมืองที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่เราทำงานด้วย เราอยู่ iLAW(โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) ใช่ไหม เราก็ได้ไปเจอม็อบ ไปเจออะไร เราก็ได้มีโอกาสเก็บ หรือคนที่เป็นเครือข่าย อะไรอย่างนี้ เราก็จะอาศัยจากตรงนั้น เเต่การเมืองที่เป็นการเมืองของชาวบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากทรัพยากร มันหายาก เข้าถึงยาก ยังเป็นข้อจำกัดอยู่ “
ความทรงจำแบบไหนจะถูกบรรจุในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ด้วยการทำงานศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ ของเว็บไซต์ iLaw ที่ติดตามบันทึกสถานการณ์เสรีภาพการแสดงออกทางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2556 ทำให้แว่นได้พบปะกับคนที่เป็นเอ็นจีโอ หรือชาวบ้านที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวเเบบอื่น ประเด็นปัญหาเฉพาะอื่น
"ถ้าเป็นของจากที่ไม่ว่าจะเป็น Movement โปรรัฐบาล หรือแอนตี้รัฐบาล คือในฐานะที่มันเป็นสามัญชน มันก็จะเป็นในเเง่ว่าในธรรมดาที่ออกมาเคลื่อนไหว คือ คำว่าการเมืองมันมีนิยามหลายเเบบ การเมืองเนี่ยคือทุกมิติของชีวิต ทุกมิติที่มันเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเเวดล้อม หรืออะไรก็ตาม มันคือการเมืองหมด อันนี้คือสิ่งที่อยากให้มันเป็นสิ่งที่รวบรวมการของคนธรรมดา การเมืองนอกสภา เราก็จะเก็บทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น กกปส. นกวงนกหวีดอะไรเอามาหมดเลย เพราะมันเป็นการบันทึกเรื่องราวความต้องการ อารมณ์ความรู้สึก ของคนต่อประเด็นสาธารธณะในช่วงนั้น ไม่ว่ามันจะคืออะไร มันก็ควรค่าเเก่การบันทึก "
และสิ่งของที่แว่นเก็บนั้น “ ไม่จำเป็นต้องเป็นจากกลุ่มความคิดทางการเมือง ที่ความคิดความเชื่อเหมือนเรา เพราะถ้าคุณเก็บฝ่ายเดียว หากเอามาคิดวิเคราะห์ คุณก็จะมองอะไรได้ไม่หมด ในความเชื่อส่วนตัว ความคิดทางการเมืองเราก็มี เเต่ว่าในฐานะพิพิธภัณฑ์ มันต้องมีทุกด้าน นึกออกป่ะ คุณจะไม่เข้าใจเสื้อเเดง ถ้าคุณไม่เข้าใจ กกปส. เหมือนตอนนั้นคุณจะไม่เข้าใจเสื้อเเดง ถ้าคุณไม่เข้าใจพันธมิตร คือมันต้องรู้ทั้งสองฝั่ง เเล้วเราถึงจะเห็นอะไร ก็เลยยังเก็บของทุกฝ่าย “
ประสบการณ์สุดเหนือในที่ชุมนุมที่คิดต่างไป
แว่นเล่าถึงกิจกรรมเดินเชียร์ลุง ที่สวนลุมพินี (วันที่ 12 มกราคม 2563 ) “ก็ไป เราเชื่อไม่ตรงกับเขา เมื่อเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่เขา เราก็ต้องเคารพ ไม่ไปป่วน ไม่ไปอะไร เราไปเอาของของเขามา เราก็มาเก็บ ของมันเป็นเสื้อ หน้ากาก เเละรูปพลเอกประยุทธ์ เเล้วก็มีเสื้อเดินเชียร์ลุง เราก็เก็บมา มันก็เป็นความยากอย่างหนึ่ง เราในฐานะเป็นมนุษย์ เราก็มีอารมณ์ความรู้สึก เวลาที่ได้ยินป้า ๆ ที่เขาพูด เราก็จะมีความรู้สึกออะไรบางอย่างที่อาจจะไม่เข้าหู เเต่เมื่อเราอยู่ในพื้นที่เขาก็โอเค ไม่ไปป่วน ไม่ไปอะไร เราก็ทำงานของเรา เก็บของมา เเล้วเราก็มาขึ้นเเละเขียนในลักษณะที่เขาเขียน คือในเเง่หนึ่งที่ทำ เราก็พยายามทำ ก็คือว่า เวลาเขียนอธิบายสิ่งของเราพยายามอธิบายมัน เราจะไม่ให้ค่า
หรือถ้าเราจะให้ค่า ถ้าเราจะตัดสินมัน ก็จะเขียนเเยกไว้ เเต่เราก็จะพยามยามบอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจัดทำน่าจที่ะตั้งใจที่จะสื่อสารอะไร
เเต่ก็ไม่ได้ไปตัดสินเขาว่าถูกหรือผิด หรือในเพจถ้ามีจิกกัดนิด ๆ ก็อาจจะมี บางอันมันก็อดไม่ได้ เเต่เราก็จะพยายาม อย่างน้อยที่จะสะท้อนเรื่องจริง โอเค ผู้จัดทำเขาพยายามจัดทำด้วยความคิดอะไร เราก็จะพูดเเทนเขา เเต่เราจะวิจารณ์ก็ค่อยว่ากัน เเต่ส่วนหนึ่งที่ต้องมีเลย คือต้องพูดเเทนเขา เพราะว่าเราเอาของเขามาเเสดงโดยวิสาสะเเบบนี้เนี่ย
ถ้าเราไม่บอกว่า เฮ้ย คนที่จัดทำเขาน่าจะคิดยังไง มันก็จะดูไม่เเฟร์กับเขาไปหน่อย เพราะว่าของเเต่ละชิ้น ไม่ว่ามันจะมาจากทางไหน มันต้องมาจากความคิดสร้างสรรค์ มาจากความรู้สึกนึกคิดอะไรบางอย่าง มันถึงออกมาเป็นอย่างนั้น เเล้วเราก็ต้องเคารพตรงนั้น
อะไรคือความสำคัญของคน 'ไม่สำคัญ '
แว่นอธิบายว่า
" มันจะทำให้เรามองภาพได้ชัด เช่น ถ้าเป็นนักวิชาการหรือคนที่จะศึกษาการเมืองไทย อย่างตอนนี้หากคุณไม่ติดตามทวิตเตอร์ ถ้าคุณไม่ได้เก็บ ถ้าคุณไม่ได้เเค็ปรูปเหล่านั้นไว้ คุณก็อาจจะวิเคราะห์ข้อมูล หรืออารมณ์ของคนในสังคมได้ไม่ครบ ไม่รอบด้านพอ คุณก็จะวิเคราะห์จากข่าว จากหนังสือพิมพ์ที่รายงาน เเต่อีกด้านสิ่งเหล่านี้ มันเป็น primary source อันหนึ่ง ทวิตเตอร์คุณได้เห็นอารมณ์ของคนอย่างเเท้จริง หรืออย่างเช่นที่เก็บใบหาเสียงเลือกตั้ง มันก็สะท้อนอารมณ์ของคน
พรรคการเมืองจะหาเสียงยังไง ก็ต้องไปรีเฟล็ค หรือไปสะท้อนกลับ ความต้องการของคนในสังคมนั้น เพราะดังนั้นใบปลิวเเผ่นหาเสียงเล็ก ๆ ที่คุณเก็บไว้ ถ้าคุณเอามาประมวล เอามากางหลาย ๆ เเผ่น คุณก็จะเห็นภาพรวมว่า คนในสังคมต้องการอะไร คุณก็จะเห็นนโยบาย อะไรคือนโยบายที่พรรคการเมืองคิดว่า ถ้าตัวเองขายนโยบายไป เเล้วประชาชนจะซื้อ ซึ่งถ้าคุณดูตรงนี้ประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการบริหารประเทศของรัฐบาล หรือการทำงานของฝ่ายค้านต่าง ๆ เอาพวกนี้ไปด้วยเนี่ย มันจะเห็น อะไรบางอย่างที่คุณจะไม่เห็น ถ้าคุณไม่เอาพวกนี้ไปประกอบ อย่างงั้นมันก็เป็นหลักฐานอีกส่วนหนึ่งที่มันควรจะถูกเก็บไว้ "
สำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัย เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันจะตอบโจทย์ของคุณเลย คุณสามารถเขิญเราไปได้ เเล้วเราก็เอาของไปเเล้วเราก็เล่า ส่วนคุณจะเอาของเราเเล้วเรื่องเล่าของเราไปประยุกต์ในทฤษฎีหรืออะไรที่คุณสอน นั้นเรื่องของคุณ คือ คุณอาจจะได้เห็นของจริงนะ คือ เด็กบางคนเขาไม่ได้มีโอกาสไปม็อบ
เด็กบางคนอาจจะมีเงื่อนไขบางอย่าง เขาอาจจะสนใจ ไม่มีโอกาสไป สิ่งที่เราอยากทำคือ อยากเอาของไปให้เขาเห็นว่า เ มันมีเรื่องอย่างนี้อยู่ อันที่ประทับใจในข้อความทวิตเตอร์ คือว่า เขาบอกว่าเรื่องไหนที่เขาไม่ได้รับรู้มาก่อน เราก็คิดว่า ถ้าสิ่งที่เราทำได้ คือการเอาเรื่องราวไปเล่า เล่าสิ่งของเเล้วทำให้เขาได้รู้ได้เห็นการเมืองบ้านนี้กว้างขึ้น
เขาไม่จำเป็นต้องมาทำงานเอ็นจีโอ เขาไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อสังคม เขาก็ทำงานเลี้ยงตัวเขาไป เเต่สิ่งที่เราอยากให้เขามี คือ ทุกคนมีสำนึกความเป็นพลเมือง ทุกคนมีสำนึกการเมือง ทุกคนรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์มีเสียงในประเทศนี้ รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของประเทศนี้ รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของประเทศนี้ ถ้าของสิ่งนั้นมันสามารถจุดประกายให้เขารู้สึกตรงนี้ ยังไม่ต้องออกมาเเสดงจุดยืนทางการเมืองง ยังไม่ต้องออกมาชุมนุมก็ได้ เเต่อย่างน้อยนี่คือคุณต้องรู้ มันสำคัญ เพราะว่า ทุกครั้งที่ เช่น ถ้าคุณต้องดีลกับตำรวจ ตำรวจมาหาคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรือเรื่องอะไรก็เเล้วเเต่ ถ้าคุณไม่มีสำนึกว่าคุณเป็นพลเมือง คุณมีสิทธิอะไรบ้าง คุณก็จะยอมสยบต่ออำนาจรัฐ โดยที่คุณไม่ได้ดูว่า เฮ้ย คุณมีสิทธิ์มีเสียงอะไร คุณสามารถเถียงตำรวจได้
ถ้าสิ่งที่คุณทำมันไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องออกไปชุมนุม หรือเรื่องอะไรก็เเล้วเเต่ นั้น คือสิ่งหนึ่งที่อยากทำ ก็คือว่า ตัวเองเป็นพลเมืองนะ ตัวเองเป็นนายของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นนายของข้าราชการนะ อยากจะฝังสิ่งนั้น อยากจะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา
ส่วนถ้าใครจะดูของของเรา เเล้วรู้สึกอินจนต้องออกมาเคลื่อนไหวการเมือง นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา เเต่ขั้นต้นคือ ทำไงให้คนรู้สึกว่า เฮ้ย เราเป็นพลเมืองนะ เราไม่ใช่เเค่ อะไรที่ทำงาน จ่ายภาษีให้รัฐ รัฐบอกอะไรต้องฟัง ไม่ใช่ เราคือพลเมือง เราคือ เจ้าของประเทศนี้ ประเทศนี้เจริญได้เพราะคนธรรมดาอย่างพวกเรา
แล้วการเมืองมันไม่ได้มีมิติเเค่รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ มันคือทุกมิติของชีวิต ซึ่งในหลาย ๆ เเคมเปญเนี่ย คึนก็นิยมเอาเสื้อยืดมาทำเพราะว่าเสื้อยืดมันใช่ไหม เราไปไหนมาไหนเราใส่เสื้อยืดไรก็ได้ เเล้วพอมันเป็นข้อความมันก็เป็นการรณรงค์ไปในตัว คุณไม่ต้องไปม็อบ คุณเเค่ใส่เสื้อยืดที่มันมีข้อความหรือเเมจเเสจบางอย่าง ซึ่งเสื้อยืดเหล่านี้หลายตัวมันก็มีเรื่องราวของเรา เมื่อคนได้เห็น เนี่ย มันก็จะทำให้เขาอย่างน้อยได้บางอย่างอะไรกลับไป เราก็อยากให้คนได้ฉุกคิด ได้ตั้งคำถามต่อจากการเห็นของเหล่านี้
ฉากที่จะไปต่อของพิพิธภัณฑ์และเรื่องเล่าคนธรรมดา
แว่นสะท้อนความรู้สึกว่า ตอนนี้เขาไม่ได้มองตัวเองเป็นภัณฑรักษ์ขนาดนั้น เเต่นิยามเป็นเเอดมินไปก่อน เพราะลำพังกำลังของเขา มีอยู่คนเดียวเเค่นี้ เเต่อีกสิ่งที่จะสื่อก็คือว่า พิพิธภัณฑ์มันชื่อพิพิธภัณฑ์สามัญชน เเล้วมันก็เป็นของพิพิธภัณฑ์จริง เพราะว่าอะไร เพราะว่าของหลายชิ้นเป็นการบริจาค
คือเงินเดือนประจำเรามีจำกัด ของบางชิ้นเราก็โอเค เรามีปัญญาผลักดันซื้อก็ควัก เเต่หลายชิ้น คนนู้น คนนี้ให้มา เสื้อเป็นร้อย ๆ บางตัวเราซื้อเอง ที่เหลือเจ้าของเขาให้มา เพราะฉะนั้น จะบอกว่าของสะสมเหล่านี้มันไม่ใช่ของเรานะ เราเเค่มีหน้าที่ดูเเลรักษามัน เอามันไปบอกเล่า เป็นเเมจเสจไปส่งต่อ เเต่ว่ามันคือของสาธารณะ คือของคนทั่วไป สร้างมาด้วยมือสามัญชน เสื้อทุกตัวที่บริจาคเข้ามา
หรือว่าป้ายที่เอาไปใช้ในการชุมนุม ซึ่งเราไม่มีโอกาสไป เเล้วเขาเก็บมาให้เราเนี่ย ของเหล่านี้ต่อให้คุณมีเงิน คุณก็ซื้อหามาไม่ได้ มันก็ได้เเต่เพื่อนมิตรหยิบมาคนละชิ้นสองชิ้น เอามาให้ มันก็เลยกลายเป็นคอนเนคชั่นใหญ่ขึ้นมาตอนนี้ ไม่ได้มาก เเต่ใหญ่ระดับหนึ่ง เช่น ถ้าจัดนิทรรศการเกี่ยวกับ คสช. ก็คิดว่า ของเล่าเรื่องได้ประมาณหนึ่ง และอีกอันเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง น่าจะทำได้
เมื่ออยากรู้ถึงข้อจำกัดและสิ่งน่าเสียดายตั้งแต่มีพิพิธภัณฑ์นี้ แว่นย้อนคุยว่า “เพจเราเริ่มทำมาประมาณปีสองปีก่อนเเล้ว ช่วงกิจกรรม วีวอล์ค( กิจกรรม We Walk หรือเดินมิตรภาพตั้งแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ถึงจังหวัดขอนแก่น) ที่มีเป้าหมายสื่อสารประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และสิทธิเสรีภาพ ถูกจับตามมองจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคง)
มีอีกเรื่องที่อยากเล่า เสียดายมากเลยตอนเหตุการณ์วีวอล์ค ก็คือว่า คนที่เป็นนักเคลื่อนไหว เขาไม่ได้มองวัตถุเหล่านี้ในฐานะสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ เขามองในฐานะของที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้การรณรงค์ เมื่อมันเสร็จปุ๊ปมันก็จบเรื่องเล่าของมัน
เเต่ว่าเรามองมันในฐานะ ตัวต่อตัวหนึ่งที่บอกเล่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยเป็นภาพใหญ่ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้ขอเขาไว้ ผ้าที่ว่าคนไปเดินวีวอล์ค เขาเอาตีนเหยียบสีเเล้วมาเหยียบๆ ปั๊มตีนตรงนั้นเพื่อสื่อว่าโอเค กูเดินมาถึงเเล้ว ซึ่งผ้าผืนนั้นมันมีความหมายมาก เพราะว่ามันคือบทสรุปว่ากว่าจะเดินมาที่ขอนเเก่น กูเจอตำรวจบล็อกที่คลองหลวง สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยน เดินชุดละสี่คน สลับ ๆ กูไปสู้คดีในศาลปกครองจนศาลบอกว่า เฮ้ย คุณชุมนุมได้ เเล้วกูถึงกลับมาเดินขบวนเป็นเเถวยาวเหยียดเเบบเต็มภาคภูมิอีกครั้ง มันมีเรื่องราวของการต่อสู้เหล่านั้นเเล้ว มันไม่ใช่ผ้าผืนหนึ่งเเล้วปูเเล้วมีรอยตีน มันคือบันทึกเรื่องราวหลายๆ อย่างที่มันผ่านมา มันมีกรณีที่เจ้าอาวาสวัดถูกกดดันจนไม่สามารถต้องขอเเคนเซิลว่าไม่ให้ผู้ชุมนุมมานอน มันมีเหตุการณ์เหล่ากนี้เกิดขึ้น เเต่สุดท้ายผ้าผืนนั้น มันเหมือนธงชัยที่ประกาศว่า กูมาถึงเเล้ว เเล้วเราไม่ได้ขอไว้ เเล้วสมบัตินี้เเม่งไปไหนเเล้วก็ไม่รู้ กูโครตเสียดายเลย คือ วีวอล์คในบริบทการเคลื่อนไหวในการเมืองยุค คสช. เนี่ย วีวอล์คก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่คนสนใจ เพราะว่ายอดวิวเป็นหมื่น ยิ่งตอนที่เขาจะออกจากธรรมศาสตร์เเล้วโดนกดดัน
เเล้วยอดวิวไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กสูงมาก มันไม่ใช่ประเด็นที่เอ็นจีโอมาเดินกันเเล้ว มันเป็นประเด็นที่คนสาธารณะที่ชาวเน็ตทั่วไป เเม้กระทั่งที่คนเสื้อเเดง ซึ่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็อาจจะไม่ค่อยชอบกลุ่มกิจกรรมเหล่านี้
เเต่กลายเป็นว่าเหตุการณ์วีวอล์ค คนเหล่านั้นออกมาเเสดงความสนับสนุนที่กรุงเทพฯมีคนมาทำกิจกรรมคู่ขนาน ทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องเล่าเหล่านี้มันคือสิ่งที่ปั๊มอยู่ในรอยตีนผ้าผืนนั้นด้วย ที่เขาไปเดินว่ากูมาถึงเเล้วนะ เรื่องราวทุกอย่าง อุปสรรคกูฝ่าฝันหมดเเล้วระหว่างที่กูมาถึงของเเก่น ซึ่งไม่ได้ขอไว้ เราก็เลยพยายามคิดว่าต่อเเต่นี้ ผ้าที่นักศึกษาทำหลาย ๆ ผืน จะพยายามขอมาเก็บไว้ เเต่ก็ไม่รู้จะเก็บได้เยอะเเค่ไหน เพราะว่าที่บ้านมันก็จำกัด
อีกสิ่งหนึ่งที่เรากลัว ก็คือว่า ไม่นับเรื่องทหารมาบุก คือว่าเราไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นการดูเเลรักษาสิ่งของเหล่านี้มันต้องใช้เงิน เช่น ถ้าเป็นเสื้้อสี่ปียี่สิบปี คุณพับใส่ถังโยนลูกเหม็นไว้ ปิดถังดี ๆ โอเคเสื้อไม่เป็นไรไม่หาย เเต่ไวนิลนี้มันอ่อนไหว มันเลือนได้ ถ้าไม่มีวิธีการจัดเก็บที่ดี ซึ่งหลายอันมันก็เป็นตำนานไปเเล้ว
เช่น ป้ายไวนิลพรรคของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งตอนนี้ยุบพรรคไปเเล้ว เป็นตำนานไปเเล้ว เราต้องเก็บรักษามันไว้นะ ตอนนั้นพี่ไปเห็นเเบบว่าคนเขาเอามาคุมถุงปูนช่วงที่ระหว่างเลือกตั้งหลังเลือกตั้งใหม่ ๆ เคยเห็นอยู่อ่ะ วันนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรกับมัน คนรุ่นหลังจะไม่มีโอกาสรู้จักกชื่อพรรคประชาชนปฏิรูปอีกเเล้ว
เเต่เรามีมันเก็บไว้ เราเอามันมาโชว์ บอกเล่าว่านี่คือพรรคใช้เเล้วทิ้ง พรรคหนึ่งตัวอย่าง อันนี้ไม่ต้องบอกนะ เดี่ยวโดนหมิ่นประมาท มันคือ พรรคการเมืองอายุสั้นที่เกิดขึ้นมา เเล้วมันก็ขายม็อบโต้ที่เเบบเป็นที่ฮือฮาในสังคมว่าน้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้า เเต่ทุกวันนี้มันไม่มีอีกเเล้ว เเต่เราเก็บมันไว้หนึ่งเเผ่น เเต่ถ้าเราไม่ดูเเลมันให้ดี วันหนึ่งมันก็จะเลือนมันก็เสียไป ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องน่าเสียดาย
พรรคอนาคตใหม่เนี่ย ได้นี่มาเต็มเลย ใบปลิว ซึ่งก็คือดีใจมาก บางเเผ่นก็ไม่มีอีกเเล้ว บางเเผ่นยังเเบบให้คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจเซ็นต์ ไว้ เเล้วก็เคยเเจกเเฟนเพจไปครั้งหนึ่ง จากที่วันนั้นใบปลิวหาเสียง บางคนอาจจะนึกว่าเฮ้ย ของไร้ค่า พอได้มาก็โยนทิ้ง ถ้าคุณเคยโยนใบปลิวของพรรคอนาคตใหม่ทิ้งลงขยะ มันไม่มีอีกเเล้ว มันไม่เหลือเเล้ว มันเป็นตำนานไปเเล้ว ถ้าคุณยังเก็บมันอยู่
หนังสือพิมพ์ อีกเครื่องทรงจำที่ไม่เป็นแค่สิ่งละอันอันพันละน้อย
อีกสิ่งหนึ่งที่ลืมแว่นยอมรับว่าลืมเก็บคือ หนังสือพิมพ์ “ ไอเดียนี้ไปได้ตอนที่อเมริกา เก็บเฉพาะเหตุการณ์ อย่างที่อเมริกา คือหนังสือพิมพ์ โลกสิ่งพิมพ์มันกำลังจะตาย ใช่ไหม ซึ่งจะจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เเต่เรารู้สึกว่าในยุคสมัยหนึ่ง มันเป็นเครื่องมือของเสรีภาพ เมื่อหลายปีก่อนว่า หนังสือพิมพ์คือสื่อที่บอกเล่าเรื่องราวอีกฝั่งที่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอำนาจรัฐอยากได้ยิน มันก็เป็นเอกลักษณ์ของเสรีภาพมาสมัยหนึ่ง ยุคหนึ่ง เเล้วมันก็เป็นสิ่งที่อยู่กับเราในชีวิตประจำวัน ทุกเช้ามีหนังสือพิมพ์มาส่ง ไปร้านกาเเฟ ร้านโจ๊กตอนเช้ามีหนังสือพิมพ์วางไว้ จนเราไม่ได้มองมันในฐานะวัตถุบันทึกพยาน ไม่ได้มองมันในฐานะสิ่งบันทึกประวัติศาสตร์ เเต่ว่าลองจินตนาการดูดิ วันนั้นไปพิพิธภัณฑ์ที่อเมริกา ชื่อ นิวเซียม เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสื่อ เขามีหนังสือพิมพ์ วัน ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดเพิร์ลรฮาเบอร์ มีหนังสือพิมพ์วันยุติสงครามโลกครั้งที่สอง มีหนังสือพิมพ์ช่วง 911เหตุการณ์ที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช็อคโลก หน้าหนังสือพิมพ์ถูกบันทึกไว้ เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย
มันคือการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อีกรูปแบบหนึ่งในหน้าหนึ่งเหล่านี้ เราก็เลยมาเริ่มเก็บ ที่เก็บได้ครบที่สุดน่าจะเป็นของพรรคไทยรักษาชาติยุบพรรค ก็คือ ไล่เก็บตั้งเเต่วันที่เขาประกาศชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นการยุบพรรค ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเซ็ตมหากาพย์ ตอนเเรกว่าก็เก็บไว้หน่อย เเต่ก็มีเเถลงการณ์ออกมาไม่บังควรอย่างยิ่ง เดาว่า ต้องเป็นพล็อตยาวเเน่ ถ้ารู้ว่าวันไหนมีข่าวเกี่ยวกับ คสช. สุดท้ายก็ได้มาหกเล่ม ซึ่งคุณเห็นภาพรวมไทยรักษาชาติตั้งเเต่ต้นจนจบ ดูพาดหัวหกเล่มนี้ เราก็เลยเเบบว่า หลังจากนั้นก็เลยโอเค ถ้ามันมีอีเว้นท์สำคัญ ๆ เราก็จะเก็บไว้
ฉบับที่สะเทือนใจก็คือรูปจ่านิว (สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักกิจกรรมการเมือง) โดนตี อันนั้นขึ้นพาดหัวไทยรัฐ เเล้วก็ยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ซื้อบางกอกโพสต์มา เเต่วันนั้นหาหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ยากมาก นี่ต้องขอให้เเฟนเก็บไว้ให้ เพราะสำนักงานเขารับ คือของที่สมัยเราดูในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกว่ามันมีค่าทางประวัติศาสตร์ขนาดนั้นอะไรหรอก เเต่ถ้าเราย้อนกลับมา มันก็บอกเรื่องราว บอกอารมณ์สังคมขณะนั้นได้ “
ของ 3 ชิ้น ในพิพิธภัณฑ์ ที่บ่งบอกถึงการเมืองปัจจุบัน
หนึ่งก็คือ หน้ากากพิน็อคคิโอ เขาทำขึ้นมาเพื่อจะเเซวว่า เฮ้ย สัญญาเรื่องเลือกตั้งมากี่รอบเเล้ว เเล้วก็เลื่อน ก็เลยเอาหน้าคอนเซ็ปพิน็อคคิโอ เด็กขี้โกหกมาทำเป็นหน้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา(นายกรัฐมนตรี) เเล้วก็จมูกยาว เเต่ที่ประทับใจในที่นี่คือ เขาพยายามเอาการเคลื่อนไหวของการเมืองไปอยู่ในมิติของชีวิต เช่น เอาไปทำเป็นพัด หรือเอาไปทำเป็นฟองน้ำ เเล้วเอาไปเเจกตรอกข้าวสาร วันที่คนเล่นสงกรานต์ คือ เเมจเสจการรณรงค์ทางการเมือง ถ้าคุณอยู่เเต่ในม็อบเนี่ย มันก็ไม่ไปไหน มันก็อยู่เเค่นั้น
สองอันนี้ขายของให้เขาหน่อย อันนี้คือเพจ SOB เขาทำเสื้อสกรีน เเล้วเจอโดยบังเอิญ จำไม่ได้เเล้วเสื้อตัวเเรกของเขาที่ไปเห็นในเพจนั้นคืออะไร จากนั้นก็ไปคอนเทคโดยการสัมภาษณ์ กับคนยุคนี้ว่าเหตุการณ์บ้านเมือง เลวร้ายถึงขั้นที่คนไม่สนใจการเมืองหันมาสนใจการเมืองแล้วเหรอ คือเราเรียนราชมงคล ซึ่งไม่ได้อยู่ในสารบบที่ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองในต้นๆ ที่เราจะนึกใช่ไหม ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ เเล้วก็มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เเต่ว่าราชมงคล เรื่องการเมืองระดับชาติ เราเเทบไม่เห็นชื่อเลย เเต่เนี่ยเด็กคนนี้จบมาจากราชมงคล
เเละทำงานเป็นครีเอทีฟ ซึ่งอยู่นอกเเวดวงการเมืองเลย เเต่เริ่มมาทำเสื้อการเมืองขาย เเละบางตัว เช่น มีเสื้อตัวหนึ่งเขาเอาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เเล้วก็จรวด เอาปีก 4 ข้าง มาดัดเเปลงเเล้วทำให้เป็นรูปจรวดเเล้วบินขึ้นไป เออ มันก็เฮ้ย เเม้เเต่คนที่อยู่นอกเเวดวงการเมืองอ่ะ สถานการณ์บ้านเมืองมันเลวร้ายจนเขารู้สึกว่า
เขาต้องลุกมาทำอะไรบางอย่าง เขาไม่ได้มาม็อบเเต่เขาก็ทำเสื้อขาย เขาก็บอกว่าเขาขายก็จริง เเต่ว่าหนึ่งเขามีต้นทุน สองคือ มันทำให้คนมันรู้สึกอยากซื้อ อยากจับต้อง ซึ่งมันมีคุณค่ามากกว่าการทำเเเล้วมาไล่เเจก คนมองเห็นเเล้วมันเเบบต้องซื้อ คือเขาทำก็ไม่ได้กำไร
สาม ก็น่าจะเป็นเสื้อจ่านิว (สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์) จำลอง เป็นของที่ทางพิพิธภัณฑ์เสนอไอเดีย คุยกันตอนที่จะจัดนิทรรศการกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เราก็เสนอไอเดียว่า จ่านิวเพิ่งถูกทำร้ายมาใช่ไหม เรามาทำเสื้อจำลองกัน เพราะตอนนั้นไม่สามารถถอดเสื้อจริงมาได้ เเล้วก็เอาไปใช้ในงานกิจกรรมหนึ่งของ iLaw งาน เเล้วให้คนมาทดลองใส่ คือเราคิดว่า พิพิธภัณฑ์ในฐานะเเหล่งเรียนรู้ หน้าที่เราอาจจะไม่ใช่เเค่เเหล่งเรียนรู้ เเต่ของบางชิ้นเราก็สามารถทำจำลองเล่าได้ ส่วนประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุด น่าจะเมื่อเร็วๆ นี้ คือไปร่วมกิจกรรมกับ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อนที่เป็นอาจารย์เชิญไปสอนวิชาเกี่ยวกับประชาสังคม วันนั้นเราก็ไม่มีรถนะ
เอาของใส่กระเป๋า ไปนอนบ้านเเเฟนที่เเปดริ้ว(จังหวัดฉะเชิงเทรา) วันนั้นเรารู้สึกเราเสี่ยงตายมาก ต้องนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ เอาของใส่ไว้ตรงด้านหลังเเล้วกอดมา เเล้ววิ่งบนไฮเวย์ถนนใหญ่ เเต่พอเราไปถึงที่นู่น เราก็เห็นนิสิตถ่ายรูปเเล้วลงทวิตเตอร์ เขียนประมาณว่า เฮ้ย เขารู้สึกดี เขารู้สึกขนลุกที่ได้เห็นของพวกนี้เเละได้ยินเรื่องพวกนี้
เราเลยรู้สึกว่าการเสี่ยงตายวันนั้นมันคุ้มอ่ะ แบบกอดกระเป๋าเดินทางบนหลังมอเตอร์ไซค์ ซ้อนมอไซต์เพื่อจะเดินทาง ไปถึงแล้วมันมีคนเห็นเเล้วเรารู้สึกว่า เเมจเสจนี้มันถึงเขานะ เราก็เลยคิดว่า เนี่ย ของที่เราเก็บมันมีค่าเเละมันมีประโยชน์ในการเรียนรู้และมีกำลังใจให้ทำสิ่งนี้ต่อไป
__________________________________________________________________________________________________________
*เฟซบุ๊กเพจ พิพิธภัณฑ์สามัญชนหรือ Museum of the Commonners ก่อตั้งโดย อานนท์ ชวาลาวัณย์ ในช่วงปี 2561 นอกจากงานนำเสนอทางออนไลน์ ปัจจุบันเขายังรับจัดแสดงงานและบรรยายตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันศึกษา เคยไปจัดแสดงสิ่งของในพิพิธภัณฑ์มาแล้ว ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ,มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร โดยผู้สนใจสามารถ Inbox เข้าไปสอบถามพูดคุยที่จะร่วมกิจกรรมได้
*ขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจากพิพิธภัณฑ์สามัญชน
________________________________________________________
Comments